วันพฤหัสบดีที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ดูการศึกษานอกกรอบระบบเดิม มุ่งพัฒนาเด็กให้เป็นมนุษย์ที่มีบุคลิคภาคสมดุล-เมืองยีหลัน ไต้หวัน




 สนใจการศึกษาแนว Waldolf มานานแล้ว ได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมโรงเรียนที่จัดการเรียนการสอนตามแนว Walfdolf ที่ประเทศไต้หวัน ชื่อโรงเรียนอนุบาล Ci Xing Wardolf School เมืองยีหลัน ออกเดินทางออกจากไทเปไปประมาณ ชั่วโมงกว่า ก็มาถึงโรงเรียน บรรยากาศที่ตั้งของโรงเรียนตั้งอยู่ย่านชุมชนเล็กๆ ประชากรแถวนั้นส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตกร เมื่อเดินทางมาถึง เดินลงสำรวจรอบโรงเรียน โรงเรียนบรรยากาศดีมาก วันนั้นที่ไปชมเป็นวันเสาร์แต่โรงเรียนมีงานจัดกิจกรรมพิเศษ และได้เตรียนมรับคณะดูงานจากเมืองไทย โรงเรียนมีต้นไม้ร่มรื่น มีการปลูกต้นไม้นานาชนิด มีบริเวณที่ปลูกผัก เครื่องเล่นสนามแนวธรรมชาติ มีเชือกให้ปีนป่ายต้นไม้ บ่อทราย ชิงช้า และมีส่วนบริเวณเลื้ยงสัตว์ ที่เห็นวันนั้นก็มีกระต่ายน่ารักๆ อยู่ในกรงใหญ่ ยังไม่ได้ไปดูการสอนเลย ก็ชอบความร่มรื่น สบาย สบาย แนวคิดก็เพื่อให้เด็กได้ศึกษาเรียนรู้ จากธรรมชาติรอบโรงเรียนจริงๆ

 มาชมห้องเรียนว่าเค้าจัดห้องเรียนอย่างไร เข้าไปถึงห้องเรียนจัดเป็นมุมของเล่นต่างๆ อุปกรณ์การสอนมากมาย ของแต่ละชิ้นที่ให้เด็กเล่น จะเป็นของเล่นจากธรรมชาติ เช่น ไม้ เปลือกหอย ผ้าย้อมสี คุณครูผู้พาชมได้อธิบายวิธีการเล่น เช่น ท่อนไม้ ให้เด็กไว้เล่นโดยให้เด็กที่คิดจินตนาการเอง ว่าท่อนไม้ที่เค้าเล่นอยู่เป็นรถยนต์ หรือเป็นโทรศัพท์ และทำท่าทางสาธิตให้ดูเป็นตัวอย่าง ส่วนผ้าย้อมสีต่างๆ ในตระกร้า ก็ให้เด็กนำมาเล่น ผูกเป็นเสื้อ เป็นหมวก แล้วแต่จะจินตนาการเช่นกัน ตอนแรกก็สงสัยอยู่ว่า สิ่งต่างๆ ที่จัดในห้องเรียนเค้าใช้ทำอะไร ทำไมไม่ใช้ของเล่นสำเร็จรูป ที่มีผลิตขายกันอยู่ทั่วไป จะไม่มีให้เห็นในห้องเรียนที่นี้เลย และมุมตุ๊กตาไหมพรม มีให้เลือกมากมาย เป็นตุ๊กตารูปคน และสัตว์ต่างๆ แต่สิ่งที่สังเกตเห็นตุ๊กตาจะไม่มีรูปหน้าตา จมูก ปาก จากแนวคิดที่ต้องการให้เด็กสร้างจินตนาการของตนเอง ตุ๊กตาใครก็มีในใจของตนเอง ไม่ยึดรูปแบบที่ถูกสร้างขึ้นโดยผู้อื่น เป็นเช่นนี้เอง ว่าถ้าเด็กเรียนที่นี้โรงเรียนจะไม่อนุญาตให้ดูทีวี ผู้ปกครองก็ต้องให้ความร่วมมือด้วย เพราะว่าการดูสิ่งต่างๆในทีวีอาจจะไปปิดกั้นจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ต่างๆ ของเด็ก โดยครูยกตัวอย่างว่า ถ้าเด็กได้ดูการ์ตูนดิสนีย์ ก็จะมีภาพของ เป็ดโดนัล หรือไม่มีเจ้าหญิงของตนเอง เด็กควรจะสร้างเองโดยอาศัยสิ่งแวดล้อมที่ดี และบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติ การเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับธรรมชาติรอบตัว

สาธิตการเล่น สมมุติว่าท่อนไม้เป็นโทรศัพท์

"สิ่งที่ไม่รู้เป็นโชคชะตา สิ่งที่เรารู้อาจเปลี่ยนแปลงได้"

 แนวคิดในการจัดการเรียนการสอน แบบ 3 R  
-Rhythm การกระทำที่ทำตามจังหวะ เหมือนลมหายใจเข้าออก
-Repetition การกระทำซ้ำๆ เพื่อให้เกิดความลึกซึ้ง
  -Respect การกระทำที่แสดงออกถึงความเคารพ นอบน้อมต่อกันและกัน และเห็นคุณค่าของสิ่งต่างๆ

 แนวคิดของ Steiner การจัดการศึกษาแบบ Waldorf เหมือนหลักพัฒนาการเด็ก ขั้นตอน ของPiaget ดังนี้
-เด็กวัยปฐมวัยเรียนรู้โดยผ่านประสาทสัมผัส ผ่านการจัดทำกิจกรรมต่างๆ
-เด็กวัยประถมศึกษา (7-14 ปีเน้นพัฒนาการทางด้านอารมณ์ และสุนทรีย์ทางด้านศิลปะ ผ่านการจัดกิจกรรมต่างๆ โดยการแสดงออกด้านการแสดงออกต่างๆ
-เด็กวัยรุ่น เน้นพัฒนาการด้านสติปัญญา ความมีเหตุผล และความรับผิดชอบต่อสังคม

 กลับมาเล่าถึงการจัดกิจกรรมของโรงเรียนนี้ กิจกรรมหลักที่ทำอยู่เป็นประจำ ร้องเพลง 20 นาที ทุกวัน เป็นกิจกรรมกลุ่ม ประมาณ 10 โมงครึ่งหลังจากเข้าเรียน เล่านิทาน นิทานเรื่องเดียวกันเล่าติดต่อกันทุกวัน สัปดาห์  



 ตารางกิจกรรมประจำวัน
 วันจันทร์ สอนเรื่องปั้นเทียน (DIY)
 วันอังคาร สอนการอบขนมปัง
 วันพุธ สอนเรื่องการระบายสี
 วันพฤหัส สอนเรื่องหัตถกรรม
 วันศุกร์ สอนเรื่องการทักไหมพรม
 ทำเป็นจังหวะแบบนี้ เด็กจะจำได้ ทุกวันเป็นข้ันตอนเดียวกัน โมงเช้า ครูเข้าทำงาน มาพบกัน ร่วมกันท่องกลอน ร้องเพลง อวยพรซึ่งกันและกัน ช่วงเช้าจะเป็นเวลาอิสระของเด็ก ให้เล่นตามอิสระ พร้อมทำกิจกรรมประดิษฐ์ต่างๆ

เล่านิทาน  ก่อนการเล่าครู เล่นพิณเป็นเพลงเบาๆ
ปั้นดินตามจินตนาการ


 ผู้ปกครองและครูต้องมีส่วนร่วมกัน เช่น การประดิษฐ์ตุ๊กตาไหมพรม และมอบให้กับเด็ก เด็กต้องดูแลตุ๊กตาของตน เด็กก็อยากมาโรงเรียน และการย้อมสีผ้าต่างๆ จะเห็นได้ว่าที่โรงเรียนจะใช้ผ้าย้อมสีจำนวนมาก เป็นทั้งผ้าม่าน ผ้าคลุมโต๊ะ ปูที่นอน ร่วมทั้งให้เด็กเล่นตามจินตนาการ เช่นเอามาผูกตัว แล้วจินตนาการว่าเป็นชุดหมอ ชุดพยาบาล หรือผูกผมทำเป็นหมวก เป็นต้น จากการสังเกตรอบห้องจะใช้ผ้าม่านสีชมพูอ่อน ครูอธิบายว่าเค้าต้องการให้เด็กรู้สึกถึงความอบอุ่น ปลอดภัย เสมือนอยู่ในครรภ์ของมารดา  


 ครูเป็นผู้คอยสังเกตอยู่เสมอว่าเด็กกำลังเล่นอะไรอยู่ เด็กมักนำเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่มามาเล่นที่โรงเรียน เช่นเด็กเล่นเป็นคุณแม่กำลังท้อง เนื่องจากคุณแม่ของเด็กกำลังต้ังครรภ์ หรือคุณพ่อขับรถไปเติมน้ำมัน การจ่ายเงิน การรับน้ำหรือทิชชู เมื่อได้รับการบริการ ครูจะให้เวลาเด็กได้ปลดปล่อยตนเองในการเล่นในห้องเรียน  
 การวาดภาพสีน้ำ สีที่ใช้จะใช้แค่ สี สีแดง สีน้ำเงิน และสีเหลือง วาดบนกระดาษเปียก Wet to Wet Paint
ระดับอนุบาลก็จะให้วาดภาพอิสระ ประถม ถึงเริ่มสอนเทคนิคการวาด
 อาหารที่รับประทานเน้นการทานมังสวิรัติ และมีการร้องเพลงขอบคุณ
เป็นการจัดการศึกษาเพื่อมนุษย์จริง  อยากให้โรงเรียนในประเทศไทยจัดการศึกษาแนวนี้คงจะดี  ยิ่งโรงเรียนตามต่างจังหวัด นักเรียนเรียนแล้วก็อยู่พัฒนาหมู่บ้านของตนเอง ไม่ต้องดิ้นรนมาเข้ากรุงกัน  

โรงเรียนอนุบาลฟูจิ ประเทศญี่ปุ่น




โรงเรียนอนุบาลฟูจิ ประเทศญี่ปุ่น
โรงเรียนอนุบาลออกแบบสุดยอดสถาปัตย์กรรม
การเรียนการสอนแบบธรรมชาติ ไม่เร่งเรียน เขียน อ่าน


อยาก ไปดูงานโรงเรียนอนุบาลที่ญี่ปุ่น ญี่ปุ่นถือว่าเป็นประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้า ทางด้านเทคโนโลยีมาก การเดินทางไปก็เดินทางไม่นานมาก เคยเห็นเด็กอนุบาลคุณครูพาจูงบ้างใส่รถเข็นออกมานอกโรงเรียน เห็นแล้วชอบความน่ารักของเด็กที่ใส่หมวกสีๆต่างกัน ออกมา ทัศนศึกษานอกห้องเรียน เอาหละเข้าเรื่องติดต่อไปชมโรงเรียนดี กว่า และจะไปโรงเรียนไหนดีละ ให้คนรู้จักที่อยู่ที่นั่นหาให้ เอาแบบแต่ละโรงเรียนมีแนวการสอนที่แตกต่างกัน จะได้มีความรู้มาคิดวิเคราะห์กันได้ภายหลัง
คน ที่รู้จักที่อยู่ที่นั่นแนะนำว่าจะลองขอไปชมงานดูซิว่าจะได้ไหม ต่อมาก็ได้รับจดหมายตอบรับคณะของเรา เช็คข้อมูลทางเว๊บไซต์ก่อน ได้แต่ศึกษาจากภาพอาคารเรียน กิจกรรมโดยรวม เนื่องจากเป็นภาษาญีปุ่นอ่านไม่ออก แต่พวกเราก็สนใจมาก เนื่องจากโรงเรียนอนุบาลฟูจิมีอาคารเรียนที่โดดเด่นมาก ด้าน สถาปัตยกรรมที่ออกแบบกลมกลืนกับสภาพแวดล้อม ประหยัดพลังงานไฟฟ้า อ้อมล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่ ทำให้รู้สึกร่มเย็นมาก อาคารรูปทรงวงกลม มีหลังคาใช้เป็นที่ทำกิจกรรมสันนาการต่างๆได้ อาคารเรียนที่ สนใจลงในหนังสือ เว๊ปไซต์ต่างๆมากมายได้มีการกล่าวถึง ว่าเป็นอาคารที่ออกแบบฉีกแนวอาคารปกติโดยทั่วๆไป เห็นจากภาพก็ อยากไปดูมาก ห้องเรียนก็มีการออกแบบโปร่งโล่ง เชื่อม ต่อกันทุกห้องไม่มีผนังกั้นระหว่างห้องเรียน วัสดุส่วนใหญ่ เป็นไม้ ออกแนวธรรมชาติ และเป็นกระจกกั้นบางส่วน นี้แหละสงสัยว่าโรงเรียนจัดการกับความปลอดภัยกับเด็กได้อย่างไร
ชุด เสื้อนักเรียน น่ารักมาก


คง คิดกันว่าโรงเรียนอนุบาลฟูจิ ชื่อนี้คุ้นหูทุกท่าน ภูเขาไฟฟูจิ แต่โรงเรียนไม่ได้อยู่แถวภูเขา ต้องเดินทางออกนอกเมืองโตเกียว โดยนั่งรถไฟชิคันเซ็น ออกไปอีกเป็นชั่วโมงก็ถึงเมือง Takchikawa นั่งรถเมล์ต่อไปอีกก็ถึง  โรงเรียน ตั้งอยู่ย่านที่อยู่อาศัย บรรยากาศดูสงบเงียบเหมาะที่จะเป็นที่ตั้งของโรงเรียนดี อาศัย สงบเงียบ บรรยากาศดี ก่อนเข้าโรงเรียนก็เดินผ่านสวนแปลงผัก เมื่อไปถึงก็เข้าพบกับคุณครูใหญ่ Mr.KATOU TSUMORU ออก มาให้การต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แจ่มใส เข้าไปถึงก็เริ่ม เห็นอะไรน่าสนใจแล้ว กิจกรรมช่วงนี้ต้องเป็นอะไรที่เกี่ยวกับ งานฮาลีวีนแน่นอน และเป็นช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยว เนื่องจากมีการ นำรวงข้าวมาประดับตกแต่งและ มีการนำฟักทองขนาดใหญ่มาตกแต่งหน้าห้องธุรการ ใครจะเข้า โรงเรียนก็ต้องผ่านจุดนี้ก่อน สะดวกดีค่ะ ช่องทางเล็กๆ นี้ มีบอร์ด ตกแต่งกิจกรรมต่างๆ ที่โรงเรียนจัดในแต่ละเดือน ให้ชมด้วย ห้องแรก ที่เราเข้าดูงานเป็นส่วนห้องธุรการนี่แหละค่ะ แต่ห้องนี้จะเป็นห้องทำงานของคุณครูทุกท่าน ทุกคนนั่งรวมกัน และ ครูใหญ่ด้วย ห้องพยาบาล ห้องต้อนรับผู้ปกครอง และ ห้องขายเสื้อผ้าชุดนักเรียนต่างๆ ห้องเปิดโล่งมองเห็นกันหมด คุณครูใหญ่พามาที่โต๊ะทำงาน ที่โต๊ะจะรอบล้อมไปด้วยอ่างเมล็ดพันธ์พืชต่างๆ ก็ อย่างที่บอกไว้ช่วงนี้เรียนเรื่องการเก็บเกี่ยวพืชพันธ์ ครู ใหญ่ก็จะพูดคุยกับเด็กๆ และมีการสอนเด็กที่ต้องเดินผ่านโต๊ะครูทุกเช้า และจากตรงที่ โต๊ะครูเราสามารถมองออกไปรอบโรงเรียน สามารถตรวจสอบมองเห็นทั้งโรงเรียนก็ว่าได้ และคุณครูก็จะมี โทรศัพท์ติดตัวที่ใช้กันภายในโรงเรียน สามารถพูดคุย ติดต่อ กันได้ตลอดและประกาศเป็นเสียงไมค์โคโฟนก็ได้ ดีจังเลยอยากได้ อย่างนี้บ้างจังเมืองไทยยังไม่มี จากโต๊ะครูใหญ่เห็นเตียงอยู่ กลางห้อง เขาก็เล่าว่านี้คือเตียงนอนสำหรับเด็กที่ไม่สบาย ทางโรงเรียนมีนโยบายให้มาพักนอนรอผู้ปกครองมารับกลับบ้าน ที่ให้นอนตรงนี้ก็ทุกคนจะได้มองเห็น การจัดห้องทำงานของคุณครู อย่างนี้ก็สะดวกดี และอากาศที่นั่นก็เย็นสบายตลอด ไม่ต้องใช้เครื่องปรับอากาศใด ใด  ต้นไม้ล้อบรอบโรงเรียนทำให้ร่มเย็นก็มีส่วน เมื่อ ถามถึงเรื่องต้นไม้ที่โรงเรียน โรงเรียนก็มีแนวคิดในการปลูก ต้นไม้ เพื่อให้เด็กได้ใช้เป็นที่ศึกษาเรียนรู้ภายในโรงเรียน มีต้นไม้ผลต่างๆ มีผังชื่อต้นไม้แจกให้เราดูด้วย ว่าปลูกต้นอะไรตรงไหนบ้าง  มอง มองไปก็เห็นต้นไม้บางต้นออกผลด้วย ดีจริงๆเลย

เตียงนอนสำหรับเด็กไม่สบาย รอผู้ปกครองมารับ
ห้องน้ำ

 เดินต่อมา มาสนามที่อยู่กลางโรงเรียนเนื่องจากห้องเรียนจะเป็นห้องที่เรียงตามอาคารทรง กลม สนามหญ้าก็เป็นจุดที่สำหรับเล่นกิจกรรมกลางแจ้งแล้ว มาเจอก๊อกน้ำเรียงอยู่ 3-4 ก๊อก คนไทยก็คงเห็นเป็นเรื่องธรรมดา แต่ที่นี่เค้ามีไว้เห็นเด็กได้ใช้เป็นที่เรียนรู้ เนื่องจากที่ญี่ปุ่นก๊อกแบบหมุนไม่มีใช้แล้ว มีแต่เป็นเซ็นเซอร์ที่เอามือวางแล้วน้ำก็จะไหลมาเอง โรงเรียน ต้องการให้เด็กที่เรียนรู้จักการเปิดน้ำก๊อกแบบหมุน และตรง พื้นก็จะเป็นกรวด เวลาเทน้ำ น้ำก็จะค่อยๆ ซึมลงพื้นดิน อ้อเป็นอย่างนี้เอง  
ดูรองเท้าวางเป็น ระเบียบเชียว

เด็กกำลังเล่นกิจกรรมกลางแจ้ง

 ได้ยินเสียง เปียโนดังออกมาจากห้องเรียนแต่ละห้อง เด็กสนุกสนาน ร้องเพลงกันใหญ่ สอบถามว่าครูอนุบาลทุกคนที่นี่ต้องเล่นเปียโน เป็นทุกคน จะเห็นว่าทุกห้องเรียนจะมีเปียโนทุกห้อง ถาม เรื่องหลักสูตรของโรงเรียน ตอนแรกนึกว่าเป็นระบบมอนเทสโซรี่ ครูใหญ่บอกว่าเค้าใช้ระบบผสม ผสาน ใช้อุปกรณ์การสอนของมอนเทสโซรี่ บ้าง โรง เรียนี้ไม่เน้นวิชาการเขียนอ่าน จะจัดกิจกรรมตาม Theme ที่โรงเรียนกำหนด และกิจกรรมอื่นๆ กิจกรรมดนตรี ศิลปะ วงกลม กลาง แจ้ง เน้นให้เด็กช่วยเหลือตนเองได้ มีการจัดให้ เรียนภาษาอังกฤษ วันที่เราเข้าไปสังเกตการสอนภาษาอังกฤษโดยครู ชาวต่างชาติ ครูนำนักเรียนไปนั่งเรียนนอกห้องเรียน ใต้ต้นไม้ บนหลังคา เด็กนั่งล้อมเป็นวงกลม ครูเปิดเพลงให้เด็กฟัง และเล่นกิจกรรมกันอย่างเป็นธรรมชาติ เนื่อง จากได้ขึ้นมาชมบนหลังคานี้แล้ว บนนี้สามารถใช้เนื้อที่ทำกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างสะดวกสบาย มี ต้นไม้ใหญ่ รอบต้นไม้มีเชือกร้อย ให้สามารถลงไปเดินเล่นได้ มองเห็นลงไปข้างล่าง เด็กจะชอบเล่น ตรงนี้มาก มีไม้ลื่นที่สามารถลื่นจากข้างบนลงสนามหญ้าได้เลย ไม่ ได้ลองแต่เห็นเด็กเล่นกันน่าสนุกทีเดียว จากด้านบนมองรอบๆ โรงเรียนจะมองเห็นแปลงผัก ของชาวบ้าน มีโรงเลี้ยงม้าตัวเล็ก สนามเด็กเล่นสำหรับเด็กเตรียมอนุบาล 

ลูกฟักทอง ขณะนั้นใกล้วัน ฮาลีวีน และเด็กเรียนเรื่องฤดูการเก็บเกี่ยว

 เมื่อเดินชม ห้องเรียนครบ คุณครูใหญ่ก็พามานั่งคุยแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างกันและกัน และวันนั้นก็ได้พบกับผู้ปกครองที่เข้ามาทำกิจกรรมร่วมกับทางโรงเรียน โดยการมาร่วมชมรูปกิจกรรมงานกีฬาสีที่ทางโรงเรียนได้ถ่ายรูปไว้ ให้ผู้ปกครองมาเลือกรูปต่างๆ และมารับประทานอาหารร่วมกันระหว่างครูและนักเรียน บรรยากาศ เป็นกันเองมาก นักเรียนที่จบการศึกษาจากที่นี่ก็จะเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนประถมของรัฐบาล ซึ่งท้องถิ่นเป็นผู้จัดการศึกษา 
 โรงเรียน อนุบาลฟูจิ ก็เป็นโรงเรียนที่จัดการเรียนการสอนได้อย่างเหมาะสมกับเด็ก ไม่เร่งรัดเรื่องการเรียนเขียนอ่าน นำสิ่งแวดล้อมเข้ามามี บทบาทสำคัญให้เด็กได้เรียนรู้ซึมซับสภาพแวดล้อม รักธรรมชาติ และการเป็นอยู่ร่วมกันของสังคม ผู้ปกครองมีบทบาทที่ต้องให้ความร่วมมือกับครู เพื่อพัฒนาเด็กให้เติบโตมีพัฒนาการเหมาะสมกับวัย และมีความสุข

วันพุธที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2554

7 มหัศจรรย์แห่งชีวิต และ 7 หลักคิดจาก ว.วชิรเมธี


7 มหัศจรรย์แห่งชีวิต และ 7 หลักคิดจาก ว.วชิรเมธี
ช่วงเทศกาลแห่งความสุขนี้ ใครที่กำลังเป็นทุกข์ ทั้งทางกายและทางใจ และกำลังมองหาหนทางในการก้าวไปสู่การดับความทรมานใจนั้นๆ ลองปรับทัศนะของชีวิต ด้วยแนวคิดเชิงบวก ข้อคิดดีๆ จาก พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือ ว.วชิรเมธี
ว.วชิรเมธี พระนักเทศน์ชื่อดัง ได้ให้ข้อคิดในหลักธรรมแห่งการดำเนินชีวิต ในหนังสือชุด “มหัศจรรย์แห่งชีวิต” ประกอบด้วย ซีดี และหนังสือรวบรวมแนวคิด ซึ่งผู้ฟังและผู้อ่านสามารถนำข้อคิดที่ได้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อบรรเทาความทุกข์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะ ในสถานการณ์ปัจจุบัน กับภาวะเครียดที่รุมเร้าคนไทย ทั้งวิกฤตการเมืองและวิกฤตเศรษฐกิจ

สำหรับ 7 หลักคิดในเชิงบวก ที่สามารถหยิบมาเป็นยาชูกำลังใจในยามท้อแท้ได้อย่างดีเยี่ยม โดยใน 7 หลักคิด มีข้อคิดดีๆ อีก 7 ข้อ เป็นพลังมหัศจรรย์ของ 7x7 ได้แก่

1. ความคิดดีๆ เป็นที่มาแห่งความสุข แน่นอนว่าเมื่อเรามีความคิดดีๆ โลกก็จะดีตามอย่างที่เราคิด ดังที่ท่านว่าไว้ในหนังสือเล่มนี้ว่า “โลกเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับว่าเราใส่แว่นตาสีอะไรมองโลก หากมองโลกในแง่ดี ชีวิตมีแต่สิ่งรื่นรมย์ หากมองโลกในแง่ร้าย ชีวิตมีแต่ความวุ่นวายและทุกข์ระทม”

2. ปัญญาดีย่อมมีความสุข คนมีปัญญาย่อมใช้ปัญญาในการแก้ปัญหาเพื่อให้พ้นทุกข์ ดังนั้น สำหรับคนมีปัญญา วิกฤตอยู่ไหน ปัญญาอยู่นั่น ส่วนคนด้อยปัญญา โอกาสอยู่ไหน วิกฤตอยู่นั่น จงเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนปัญหาให้เป็นปัญญา เปลี่ยนอุปสรรคเป็นอุปกรณ์

3. ชีวิตของคนดีคือชีวิตที่มีความสุข ดังท่านว่า ดอกไม้หอมได้บางดอก แต่มนุษย์หอมได้ทุกคน หากเขาเป็นคนดี กลิ่นดอกไม้แม้หอมขนาดไหน ก็หอมได้แต่ตามลมเท่านั้น ส่วนกลิ่นความดีของคนดีนั้น หอมหวนทวนลม ฟุ้งกระจายไปในทิศทั้งสี่ ดอกไม้ผลิบานแล้วไม่นานก็ร่วงโรย แต่ความดีของคนนั้น สถิตเป็นนิรันดร์เหนือกาลเวลา

4. ปฏิสัมพันธ์ดีก็มีความสุข ซึ่งเป็นการเลือกคบมิตร โลกนี้มีมิตรอยู่ 3 ประเภทคือ 1. ปาปมิตร เพื่อนชั่ว จงอย่าคบ 2. กัลยาณมิตร เพื่อนดี จงคบ 3. พันธมิตร เพื่อนที่ผูกพันกันด้วยผลประโยชน์ จงระวัง

5. ทำงานดีก็มีความสุข ท่านว่าไว้ คนจำนวนมากเป็นทุกข์ขณะทำงาน แต่เบิกบานเฉพาะเสาร์-อาทิตย์ โดยหารู้ไม่ว่า ในหนึ่งสัปดาห์มีเสาร์-อาทิตย์แค่สองวัน จงเป็นสุขขณะทำงาน จงเบิกบานขณะหายใจ

6. มองโลกในแง่ดี ชีวิตมีความสุข ดังผู้รู้ท่านหนึ่งกล่าวว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มันถูกอยู่แล้ว มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นที่ผิด ใครทำความเข้าใจคำกล่าวนี้ได้อย่างลึกซึ้ง คนนั้นจะไม่ทุกข์ และเขาจะไม่หวั่นไหว ในความผันแปรของชีวิต สิ่งใดเกิดขึ้นมาเขาจะอุทานอยู่เสมอว่า “มันเป็นเช่นนั้นเอง”
7. ครอบครัวดีทวีความสุข ครอบครัวคือพื้นฐานสำคัญของชีวิต บุตรธิดาคืออนุสาวรีย์ของพ่อแม่ หากลูกเป็นคนดี อนุสาวรีย์ของพ่อแม่ก็งดงาม หากลูกเลวทราม อนุสาวรีย์ของพ่อแม่ก็อัปลักษณ์



'สมเด็จพระสังฆราช' ประทานพระวรธัมโมวาท "วันเด็ก" 2553

'สมเด็จพระสังฆราช' ประทานพระวรธัมโมวาทเนื่องในวันเด็กแห่งชาติ 2553 เด็กมีหน้าที่ศึกษา เล่าเรียนให้รู้วิชาให้เต็มที่ ร่วมกันรับผิดชอบต่อประเทศชาติบ้านเมืองอย่างสุจริต และจริงใจ ...


คนทุกคนมีภาระหน้าที่จะต้องทำ ผู้ที่เป็นเด็กก็มีหน้าที่อย่างเด็ก คือศึกษา เล่าเรียนให้รู้วิชาให้เต็มที่ ฝึกหัดทำการงานต่างๆ ให้เป็น ตลอดจนถึงอบรมขัดเกลาความประพฤติและความคิดให้ประณีต ให้สุจริต แจ่มใส และเฉลียวฉลาดมีเหตุผล เพื่อจักได้เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรู้ความสามารถ ร่วมกันรับผิดชอบต่อประเทศชาติบ้านเมืองอย่างสุจริต และจริงใจ เด็กเป็นผู้ที่จะรับช่วงทุกสิ่งทุกอย่างต่อจากผู้ใหญ่ รวมทั้งภาระหน้าที่รับผิดชอบในการธำรงรักษาอิสรภาพ และความสงบสุขของบ้านเมือง

เด็กทุกคนจึงสมควรและจำเป็นที่จะต้องได้รับการอบรมเลี้ยงดู อย่างถูกต้องเหมาะสม ให้มีความสามารถในการสร้างสรรค์ประโยชน์ต่างๆ หน้าที่นี้เป็นของทุกคน ที่จะต้องร่วมมือกันกระทำโดยพร้อมเพรียงกันและสม่ำเสมอ ผู้ที่เกิดก่อน ผ่านชีวิตมาก่อน จะต้องสงเคราะห์ อนุเคราะห์ผู้ที่เกิดมาภายหลัง ด้วยการถ่ายทอดความรู้ ความดี และประสบการณ์อันมีค่าทั้งปวงให้ด้วยความเมตตา เอ็นดู และด้วยความบริสุทธิ์ใจให้เด็กได้ทราบ ได้เข้าใจ และที่สำคัญที่สุด ให้รู้จักคิดด้วยเหตุผล" 

นัยอันล้ำลึกของคำว่า “ขอบคุณ”



นัยอันล้ำลึกของคำว่า “ขอบคุณ”


แก้วที่คว่ำอยู่กลางสายฝนต่อให้ฝนตกกระหน่ำทั้งคืน
ก็ไม่อาจเต็มไปด้วยน้ำ
 คนที่ไม่ยอมเปิดใจเรียนรู้
ต่อให้คลุกคลีอยู่กับนักปราชญ์ทั้งคืนทั้งวันก็ยังโง่เท่าเดิม
นัยอันล้ำลึกของคำว่า “ขอบคุณ”
ขอบคุณความไม่รู้ ที่ทำให้รู้วิธีลุกขึ้นสู้
ขอบคุณความยากจน ที่ทำให้เป็นคนมุมานะ
ขอบคุณความล้มเหลว ที่ทำให้เกิดความเชี่ยวชาญ
ขอบคุณความผิดพลาด ที่ทำให้ฉลาดยิ่งกว่าเดิม
ขอบคุณความริษยา ที่ทำให้กล้าสร้างสรรค์สิ่งใหม่
ขอบคุณคำวิพากษ์วิจารณ์ ที่ทำให้ผลิบานอย่างไร้ข้อตำหนิ
ขอบคุณความไม่รู้ ที่ทำให้รู้จักครูที่ชื่อประสบการณ์
ขอบคุณความผิดหวัง ที่ทำให้ตั้งสติเพื่อลุกขึ้นมาใหม่
ขอบคุณศัตรูที่แกร่งกล้า ที่ทำให้รู้ว่าเรายังไม่ใช่มืออาชีพ
ขอบคุณมหกรรมคอรัปชั่น ที่ทำให้เราอยากสร้างสรรค์การเมืองใหม่
ขอบคุณความป่วยไข้ ที่ทำให้เราตั้งใจดูแลสุขภาพ
ขอบคุณความทุกข์ที่ ทำให้เรารู้ว่าความสุขมีค่าแค่ไหน
ขอบคุณความพลัดพราก ที่ทำให้เราสละจากความยึดมั่น ถือมั่น
ขอบคุณเพลิงกิเลส ที่ทำให้เรามีเหตุอยากถึงพระนิพพาน
ขอบคุณความตาย ที่ทำให้ฉากสุดท้ายของชีวิตสมบูรณ์แบบ…
โดยท่าน ว. วชิรเมธี

สามีที่รัก

แม้เวลาผ่านมานานเกือบสิบสี่ปี ตั้งแต่วันแรกที่ได้พบกัน 4ต.ค เราก็สานต่อความรักจนได้แต่งงานกัน มีเรื่องราวที่ได้ผูกพัน อยากบอกที่รัก นายชัยอนันต์ ทองมั่น ว่ารักหนักหนา รักที่สุด ดีใจที่ได้ที่รักเป็นสามี ที่รักเป็นผู้ชายที่ดีที่หายากในยุคนี้ ใจดี เรียบง่าย อ่อนโยน รักหมาที่เลี้ยง ชื่อ นานะ ชินจัง จุ๊บจิบ ปุยฝ้าย เฝ้าดูแลอาบน้ำหาข้าวเล่นกับเด็กอย่างมีความสุขจนแม่แอบน้อยใจ พ่อเขารักหนูมากกว่าแม่อีก แต่ดีใจและเชื่อมั่นว่าถ้ามีลูกพ่อต้องรักหนูมากเลย เมื่อไรหนูจะมาเกิดเสียที แม่อยากมีหนูแล้วนะ อาจเพราะสุขภาพแม่ไม่ดีพอจึงทำให้ฝันไม่เป็นจริงเสียที่ แต่แม่ก็ตั้งใจแล้วว่าจะลดความอ้วนเสียที่ เริ่มพฤศจิกายนนี้ หนูต้องคอยเป็นกำลังใจให้แม่นะ และรีบมาให้เกิดทันปีหน้า เพราะเลขสวยมากเลย 2555 แม่ว่ามันเหมือนหัวเราะร่าเริง และที่สำคัญปีหน้าเป็นเดือนเกิดของปีมะโรง พ่อกับแม่ก็เกิดปีมะโรง ไม่ค่อยจะยอมกัน พ่อต้องคอยตามง้อ เพราะแม่อ่อนไหวง่าย ไม่ตอนนั้นก็ต้องตอนหนึ่ง ไม่นาน เพราะถ้านานแม่ก็จะเสียใจนาน พ่อก็ต้องขอโทษไม่งั้นแม่ไม่ยอม แม่จริงจังกับความรู้สึก ถ้าไม่ยอมแปลว่าไม่รัก ถ้ารักก็ต้องยอมไม่เอาทิฐิมาเล่นกับความรู้สึกแห่งรัก ต้องทำให้ชื่นใจไม่งั้นจะทวนคำขอโทษตลอด ฮิๆๆจนกว่าจะได้ แต่ตั้งใจถ้าโกรธกันจะไม่เกิน3วัน อย่านานเกินไปไม่งั้น ตาย แม่รักพ่อหนูมากๆ ชีวิตนี้รู้สึกดีเมื่อได้อยู่ใกล้ๆ พ่อชอบบอกแม่เป็นเด็ก เอาแต่ใจตนเอง ไม่ยอมโต นั้นเพราะแม่รักพ่อหนูอยากออดอ้อนเสมอ มีพ่อที่รู้ใจ รู้ว่าแม่คิดอะไร ที่สำคัญพ่อให้แม่ได้เป็นตัวของตัวเอง ไม่เคยร้องขออะไรจากแม่เพราะขอไปก็ไม่ได้ฮิๆ ยังแอบนึกในใจเมื่อไรจะตามใจพ่อหนูบ้าง แต่อย่างไร พ่อก็ต้องดูแลแม่ตลอดไป หนูก็รีบมานะ พ่อกับแม่และพี่ๆหนูรออยู่ คุณปู่ คุณยาย ยิโก และญาติก็อยากให้หนูมาเกิดแล้ว สู้พร้อมกันนะจ๊ะ ลูกรัก

การแบ่งปัน


การแบ่งปัน


สังคมใดขาดการแบ่งปันให้ซึ่งกันและกัน
สังคมนั้นย่อมไม่อาจตั้งมั่นอยู่ได้
เมื่อมีการกักตุนในที่หนึ่ง
ย่อมเกิดการขาดแคลนในอีกหลายที่
เมื่อผู้หนึ่งเป็นอยู่ดีเกินไป
อีกหลายครอบครัวก็ค้องอดอยากยากจน
เมื่อผู้หนึ่งไม่ทำงานแต่มีกิน
อีกหลายคนก็ต้องทำงานมากขึ้นเพื่อหาให้เขากิน
เมื่อผู้หนึ่งกินอิ่ม และฟุ่มเฟือยเกินไป
อีกหลายคนก็ต้องหิวกระหาย และขนาดแคลน
การแบ่งปันให้ซึ่งกันและกัน
เป็นหน้าที่ที่สำคัญที่สุดของมนุษย์
ชีวิตที่ไม่มีการแบ่งปันให้ผู้ยากไร้
ทั้งที่สามารถกระทำได้
นับเป็นชีวิตที่ไร้ค่า และรกโลก
การเห็นอกเห็นใจ
ซึ่งกันและกัน
เป็นบาทฐานสำคัญ
ของสันติสุขส่วนรวม

มหัศจรรย์แห่งชีวิต… หลักคิด 20 ข้อ จากท่าน ว.วชิรเมธี



มหัศจรรย์แห่งชีวิต… หลักคิด 20 ข้อ จากท่าน ว.วชิรเมธี

27 ต.ค 54
๑. กลัวลูกมีเซ็กส์ในวัยเรียน ?
ไม่อยากให้เกิด ต้องเอาปัญญาใส่ในมือลูก
ให้เงินลูกน้อยๆ ให้ความรู้แก่ลูกมากๆ ด่าลูกน้อยๆ ให้คำสอนลูกมากๆ
๒. ไหว้พระขอพรอะไรดี ?
(๑) ขอ
อย่าให้โลภจนหน้ามืด
(๒) ขออย่าให้โกรธจนทำร้ายตัวเอง
(๓) ขออย่าให้หลงจนไม่รู้ดีรู้ชั่ว
(๔) ขออย่าให้ตายในสงคราม ระหว่างคนไทยด้วยกันเอง
๓. ท้อแท้กับปัญหามากมายทำอย่างไรดี ?
ปลาที่ยังเป็นอยู่ ล้วนเรียนรู้ที่จะว่ายทวนน้ำ
ส่วนปลาตาย มักไหลตามน้ำ
ปัญหาทำให้คนธรรมดาท้อ แต่ทำให้
คนมีปัญญาลุกขึ้นมาแก้ไข
๔. ทะเลาะกับแฟนจนไม่มีสมาธิทำงาน ?
งานส่วนงาน แฟนส่วนแฟน
รู้จักแบ่งเวลาให้งาน รู้จักแบ่งเวลาให้แฟน
อย่าเสียงานเพราะแฟน อย่าเสียแฟนเพราะงาน
๕. โกรธ! ถูกเพื่อนนินทา ?
โบราณว่าไม่มีใครเตะหมาที่ตายแล้ว
คุณถูกนินทาแสดงว่าคุณยังมีความหมาย
คุณเป็นคนโชคดี จู่ๆ ก็มีกระจกวิเศษสะท้อนความอัปลักษณ์
ให้เห็นความบกพร่องของตัวเอง
๖. จับได้ว่าแฟนมีกิ๊กทำอย่างไรดี?
(๑) ถามตัวเองว่าเราดีกับเขาพอหรือยัง
(๒) ระหว่างเรากับกิ๊กมีข้อดีข้อด้อยต่างกันตรงไหน
(๓) ถามแฟนว่าจะเลือกใครก็รีบทำ ไม่รักฉัน อย่าทำให้ฉันเสียเวลา
๗. โดนเพื่อนร่วมงานแย่งซีนทำอย่างไร?
เขาแย่งจากเราได้เพียงแค่ซีนและภาพลักษณ์เท่านั้น
แต่เขาไม่สามารถแย่งความรู้และความสามารถไปจากเราได้
๘. งานเยอะมากทำอย่างไรดี ?
(๑) รู้ว่า
งานเยอะต้องรีบทำ
(๒) อย่าดองงานข้ามปีข้ามชาติ
(๓) เรียงลำดับความสำคัญของงาน
สำคัญก่อนให้รีบทำ สำคัญน้อยค่อยทยอยทำ
๙. ทำงานดี มีแต่คนริษยา จะรับมืออย่างไร ?
โบราณว่า
ไม้ใหญ่ย่อมเจอขวานคม
คนเด่นต้องมีคนด่า คนมีปัญญาจึงมีคนลองดี
คนทำงานดีจึงมีคนริษยา ปรากฏการณ์เช่นว่านี้
เป็นของธรรมดา ทำงานดีจนมีคนริษยา

ยังดีกว่าทำงานไม่ดี จึงเป็นได้อย่างดีแค่คนที่คอยริษยา
๑๐. ทำงานแทบตาย เงินไม่พอใช้ ทำอย่างไรดี ?
(๑) หางานใหม่
(๒) ลดความต้องการให้น้อยลง อยู่กับความจริงให้มาก
(๓) บริโภคปัจจัยสี่โดยมุ่งประโยชน์ อย่ามุ่งประดับ
(๔) ทำบัญชีรายรับรายจ่าย รับมากกว่าจ่ายจึงนับว่ายอด จ่ายมากกว่ารับนับว่าแย่
๑๑. ถูกนายด่า อารมณ์เสีย ?
คนที่ด่าคนอื่นสะท้อนว่าระบบข้างใจกำลังพัง
คนอารมณ์เสียเพราะถูกด่า แสดงว่าระบบของตัวเองก็พังตามไปด้วย
๑๒. ไถ่ชีวิตโคได้บุญมากไหม ?
ถ้าไถ่แล้วโคอยู่รอด คุณได้บุญ
แต่หากไถ่เพื่อทำให้วัดอยู่รอด คุณได้บาป
แทนที่จะไถ่โคกระบือ คุณ
ควรไถ่ตัวเองให้พ้นจากความโลภ โกรธ หลง ดีกว่า
๑๓. แฟนติดหนังเกาหลี ดูทั้งคืนไม่ยอมนอน ?
ขอให้คิดว่าอย่างน้อยเธอยังนั่งดูอยู่ในบ้าน
ถึงเธอจะติดหนังเกาหลี ก็ยังดีกว่าติดผู้ชายขี้หลีที่อยู่นอกบ้าน
๑๔. ลูกค้าจู้จี้ทำอย่างไรดี?
มีลูกค้าจู้จี้ยังดีกว่าวันทั้งวันไม่มีใครแวะเวียน ผ่านมาเยี่ยมเยียนถึงในร้าน
ลูกค้าจู้จี้ได้ แต่คุณต้องทำให้เขาประทับใจเอาไว้เสมอ
๑๕. ไปงานวันเกิดควรได้อะไร?
(๑) ได้ถามตัวเองว่า เราเกิดมาเพื่ออะไร
(๒) ได้ถามตัวเองว่า เราเกิดมาจากใคร
(๓) ได้ถามตัวเองว่า
เรากตัญญูต่อผู้ให้กำเนิดแล้วหรือยัง
๑๖. สวดมนต์บทไหนดี ?
(๑) สวดพุทธคุณเพื่อเตือนว่า
จงเป็นผู้ตื่น
(๒) สวดธรรมคุณเพื่อเตือนว่า จงเว้นสิ่งที่ควรเว้น จงทำสิ่งที่ควรทำ
(๓) สวดสังฆคุณเพื่อเตือนว่า พระอรหันต์ที่แท้ คือพ่อกับแม่ที่อยู่ในบ้านของเรานั่นเอง
๑๗. สามีไม่สนใจธรรมะเลยทำอย่างไรดี ?
(๑) เราควรมีธรรมะให้เขาดู
(๒) เราควรอยู่ให้เขาเห็น
(๓) เราควรสงบเย็นให้เขาได้สัมผัส เนื่องเพราะ หนึ่งการกระทำสำคัญกว่าพันคำพูด
๑๘. โดนขับรถปาดหน้า โมโหมาก ?
(๑) บอกตัวเองว่าโกรธคือโง่ โมโหคือบ้า
ด่าคือมาร ระรานคือบาป
(๒) เปลี่ยนการด่าเป็นการแผ่เมตตาให้เขาถึงที่หมายโดยปลอดภัย
(๓) เตือนตนไว้ว่า อย่าขับรถปาดหน้าใคร เพราะอาจมีอันตรายรอบด้าน
๑๙. อยู่ในกลุ่มเพื่อนชอบนินทาจะตีจากดีไหม ?
ท่านพุทธทาสกล่าวว่า คนชอบนินทาคือคนที่ชอบกินของเน่า
ถ้าเราร่วมผสมโรงไปกับเขา แสดงว่าเราเองก็ชอบกินของเน่าไม่เบาเหมือนกัน
๒๐. ทำไมมักเจอสิ่งที่ไม่ชอบใจอยู่เสมอ ?
ผู้รู้บอกว่า ศิลปินอย่าดูหมิ่นศิลปะ กองขยะดูดีๆ ยังมีศิลป์
ดังนั้น
ในสิ่งที่คุณไม่ชอบ ย่อมมีแง่มุมที่คุณชอบ