วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ตรวจสุขภาพของพ่อ

ตรวจสุขภาพ ของพ่อ

พ่อกับแม่ไปตรวจสุขภาพกันที่ Q Medical Center  – อโศก 
  โปรแกรมการตรวจสุขภาพ  ที่ Q Medical Center ราคา 990 บาท ผลการตรวจ
นายชัยอนันต์ ทองมั่น อายุ36 เพศชาย ตรวจวันที่ 14/11/54 
การตรวจความสมบูรณ์ของเลือด 
เซลล์ที่หมุนเวียนอยู่ในระบบหมุนเวียนโลหิตของร่างกายอาจำแนกออกได้เป็น 3 กลุ่ม คือ เม็ดเลือดขาว (leukocytes) เม็ดเลือดแดง (erythrocytes) และเกล็ดเลือด (thrombocytes) หากจำนวนเซลล์ที่นับได้มีมากหรือน้อย หรือมีลักษณะที่ผิดปกติออกไปจะเป็นการบ่งชี้อาการของโรคต่างๆ ได้ 
เลือด เป็นของเหลวที่ไหลเวียนไปตามหลอดเลือดเป็นวงจรไปทั่วร่างกาย เลือดจึงเปรียบเสมือนเป็น “พาหนะ” รับเอาสารแปลกปลอมที่แสดงถึงความผิดปกติของอวัยวะต่างๆ ติดมากับน้ำเลือดนั้นด้วย จึงนับว่าเป็นของเหลวมหัศจรรย์ที่ช่วยให้มนุษย์ (รวมทั้งสัตว์) ดำรงอยู่ได้เป็นปกติสุข ทั้งนี้หากจะแยกตามหน้าที่แล้วจะพบว่า
  1. เลือดเป็นของเหลวแห่งชีวิต (fluid of life) เนื่องจากเลือดทำหน้าที่ลำเลียงออกซิเจนจากปอดไปแจกจ่ายให้แก่เซลล์ทุกเซลล์ทั่วร่างกาย และรับเอาคาร์บอนไดออกไซด์มาส่งให้ปอด เพื่อปลดปล่อยออกไปนอกร่างกาย เวลาใดที่นำส่งออกซิเจนได้น้อยกว่าปกติ ก็ย่อมจะเกิดปัญหากับสุขภาพ   มากน้อยตามลำดับ เวลาใดที่ส่งออกซิเจนไม่ได้เลย ชีวิตก็ดับลงทันที
  2. เลือดเป็นของเหลวแห่งการเจริญเติบโต (fluid of growth) เลือดทำหน้าที่ลำเลียงสารอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุ รวมทั้งฮอร์โมนที่ผลิตได้จากต่อมต่างๆ ไปส่งให้เซลล์สร้างความเจริญเติบโตหรือซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ทำให้เกิดมีอวัยวะต่างๆของร่างกายเจริญเติบโตขึ้นตามขนาดและหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์
  3. ลือดเป็นของเหลวแห่งสุขภาพ (fluid of health) หากเซลล์เม็ดเลือดในน้ำเลือดมีขนาดและจำนวนสมบูรณ์แบบครบถ้วนก็จะทำให้ร่างกายมีสุขภาพดี หรือในกรณีที่ร่างกายถูกล่วงล้ำโจมตีโดยสิ่งแปลกปลอมจากภายนอก เช่น เชื้อไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา หรือสารพิษต่างๆ หรือสิ่งแปลกปลอมจากภายใน เช่น มีเซลล์กลายพันธุ์เกิดขึ้น (ก่อนเป็นเซลล์มะเร็ง) เซลล์เม็ดเลือดชนิดต่างๆ ก็จะมีวิธีจัดการกับสิ่งแปลกปลอมเหล่านั้น เพื่อธำรงรักษาไว้ซึ่งสุขภาพของเจ้าของร่างกายให้เป็นปกติสุขให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
    ฉะนั้น การตรวจสุขภาพในทางการแพทย์ปัจจุบัน นอกจากจะใช้วิธีการซักถามประวัติ  การตรวจด้วยสายตา และการฟังด้วยหูแล้ว การเจาะเลือดตรวจดูค่าต่างๆ ก็มักจะกระทำในลำดับถัดไป 
การตรวจเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาว
     จำนวนเม็ดเลือดแดง Red blood cell (RBC) count 
เป็นการนับจำนวนเม็ดเลือดแดงในกระแสเลือด ถ้าจำนวนน้อยก็คือภาวะโลหิตจาง (anemia ) ถ้าจำนวนมากเกินไปเรียก
 ( polycythemia) ปกติจะมีปริมาณ 4.2 - 5.9 million cells/cmm นอกจากจะดูจำนวนแล้วยังดูขนาดของเม็ดเลือดแดง ควาเข็มของ Hemoglobin ผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะมีโลหิตจางเนื่องเสียเลือดจากประจำเดือน ปริมาณเม็ดเลือดแดง   
( 4.50-6.00 ) พ่อได้ 5.28 ปกติ
 จำนวนเม็ดเลือดขาว ปริมาณเม็ดเลือดขาว ( 4.00-10.00 ) พ่อได้ 6.88 ปกติ   
เม็ดเลือดขาว  เราเรียกจำนวนเม็ดเลือดขาวทั้งหมดที่นับได้ว่า Total white count และเนื่องจากเม็ดเลือดขาวทำหน้าที่เป็นส่วนหนึ่งของภูมิคุ้มกันของร่างกาย  การที่เรามีปริมาณเม็อเลือดขาวน้อยกว่าปกติมากๆ ย่อมส่งผลกระทบต่อความสามารถในการป้องกันการติดเชื้อของร่างกาย  แต่ในทางตรงกันข้าม  ถ้ามีการตรวจพบจำนวนของเม็ดเลือดขาวที่เพิ่มมากผิดปกติก็ให้สงสัยว่ากำลังมีกระบวนการอักเสบติดเชื้อเกิดขึ้นในร่างกาย

Hemoglobin เป็นส่วนประกอบสำคัญในเม็ดเลือดแดงทำหน้าที่นำ oxygen จากปอดไปยังเนื้อเยื่อและนำ Carbodioxide จากเนื้อเยื่อไปฟอกที่ปอด ค่าปกติจะอยู่ระหว่าง 12-16 gram%พบว่าถ้ามีน้อยถือเป็นภาวะโลหิตจาง สาเหตุเหมือนกับภาวะโลหิตจาง
 ปริมาณฮีโมโกลบิน ( 14.1-18.1 ) พ่อได้ 15.0 ปกติ
Hct (Hemotocrits) หรือ เปอร์เซนต์ของเม็ดเลือดแดงอัดแน่นเทียบกับปริมาตร ของเลือดทั้งหมด ค่านี้ใช้บอกภาวะโลหิตจาง หรือ ข้น ของเลือด
ปกติ คนไทย Hct ต่ำมาก อาจจะต้องพิจารณาให้เลือด ช่วยในบางราย
ถ้าHct สูงมากอาจจะต้อง ระวังโรคที่มีการ สร้างเม็ดเลือดแดงขึ้นมามากผิดปกติ หรือพวกไข้เลือดออกในระยะช้อค ก็จะมีค่าตัวนี้สูงเนื่องจากน้ำเลือดหนีออกจากเส้นเลือด ปริมาณเม็ดเลือดแดงอัดแน่น ( 43.5-53.7 ) พ่อได้ 44.3 ปกติ
MCV เป็นการวัดขนาดของเม็ดเลือดแดง เป็นอัตราส่วนระหว่า Hct และเม็ดเลือดแดงค่าปกติจะอยู่ระหว่าง 86-98 femtoliters
 ปริมาณของเม็ดเลือดแดงโดยเฉลี่ย( 80.-95.0 ) พ่อได้ 83.9 ปกติ
RBC - Red blood Cell Count ปริมาณเม็ดเลือดแดง ถ้าลดน้อยลงอาจเป็นโรคโลหิตจาง ถ้าเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติ อาจเกิดจากภาวพท้องเสีย ขาดน้ำ หรือแผลไฟไหม้ที่กินพื้นที่ผิวหนัง
เม็ดเลือดแดงมีขนาดเล็กกว่าปกติเล็กน้อย หมอบอกไม่มีผลอะไร

ขาดวิตามินบี 12 หรือโฟเลต) เล็บหักและฉีกง่าย (ขาดธาตุเหล็ก) 
ผมหงอกก่อนวัย (ขาดวิตามินบี 12 หรือโฟเลต)
-  อาการทางระบบประสาท เช่น ชาที่ปลายมือปลายเท้า สมองเสื่อม (ขาดวิตามินบี 12) 
เม็ดเลือดแดงที่มีขนาดเล็กอาจเกิดได้จากขาดธาตุเหล็ก (ซึ่งอาจเกี่ยวกับการบริจาคเลือดถ้าทำเป็นประจำแต่ไม่ได้ทานธาตุเหล็ก แต่ถ้าเพิ่งแค่บริจาคครั้งเดียวอาจไม่อธิบายสาเหตุของการขาดธาตุเหล็กครับ อาจเกิดจากทานอาหารที่มีธาตุเหล็กน้อยรือมีการเสียไปจากสาเหตุอื่นๆ) 
เม็ดเลือดแดงซึ่งทำหน้าที่พาออกซิเจนจากปอดไปเลี้ยงร่างกายแล้วพาคาร์บอนไดออกไซด์กลับมาที่ปอด เม็ดเลือดขาวซึ่งทำหน้าที่ต่อสู้เชื้อโรค และเกล็ดเลือดซึ่งทำหน้าที่ช่วยการแข็งตัวของเลือด 
เซลล์เม็ดเลือดส่วนใหญ่รวมทั้งเม็ดลือดแดงสร้างที่ไขกระดูก โดยร่างกายจะนำธาตุเหล็ก โปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุอื่นๆจากอาหารไปสร้างเป็นฮีโมโกลบิน (Hb) ซึ่งจะประกอบกันเข้าเป็นเม็ดเลือดแดง

จำนวนเม็ดเลือดแดงน้อยพบได้ในภาวะ เสียเลือด   ประจำเดือน
* ขาดอาหาร (เช่นขาดธาตุเหล็ก iron, กรดโฟลิก folate, วิตามิน vitamin B12, or vitamin B6)

MCH ย่อมาจาก mean corpuscular hemoglobin แปลว่าน้ำหนักเฉลี่ยของฮีโมโกลบินซึ่งเป็นตัวพาออกซิเจนในเม็ดเลือดหนึ่งเม็ด 
Mean cell hemoglobin (MCH)เป็นการวัดปริมาณ hemoglobin ในแต่ละเซลล์ของเม็ดเลือดแดงหรือเป็นการคำนวณระหว่างปริมาณ hemoglobin และปริมาณเม็ดเลือดแดงค่าปกติ 27 - 32 picograms   ปริมาณฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงโดยเฉลี่ย  ( 27.0-32.0 ) พ่อได้ 28.4 ปกติ
 หมอบอกสิ่งที่ควรทำคือ
1 รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กให้มาก ได้แก่กลุ่มเนื้อสัตว์เช่น เลือด ตับ ไข่ และเนื้อสัตว์ทุกชนิด กับกลุ่มอาหารพืช เช่นธัญญพืช ผัก ผลไม้  
2 รับประทาน วิตามินซี.เพื่อช่วยให้ลำไส้ดูดซึมเหล็กได้ดีขึ้น 
 3 หลีกเลี่ยงการรับประทานสารพวกแทนนิน เช่น น้ำชา กาแฟ ใบเมี่ยง พร้อมกับอาหาร เพราะจะทำให้การดูดซึมเหล็กลดลง  
  4 นอกเหนือจากอาหาร อาจใช้วิธีรับประทานธาตุเหล็กในรูปของยาเม็ดก็ได้
   5 รับปราทานอาหารที่ให้วิตามินบี.12 เช่นเนื้อสัตว์ต่างๆอาหารที่ได้จากเนื้อสัตว์ทุกชนิด ไข่ นม  
   6 รับประทานอาหารที่ให้กรดโฟลิก เช่น ผักใบเขียว ส้ม กล้วย ถั่ว ตับ ปัจจุบันนี้มีผู้ผลิตธัญญพืชเสริมด้วยกรดโฟลิกออกจำหน่ายด้วย เรียกว่า fortified cereal 
   7 งดแอลกอฮอล์และยาที่ไม่จำเป็น 
   8 แพทย์อาจพิจารณาให้รับประทานเหล็ก วิตามินบี.12 และกรดโฟลิกเสริมในรูปของยาเม็ด ไม่ควรซื้อยาบำรุงเลือดเองเพราะในกรณีที่เป็นทาลาสซีเมียอยู่อาจมีอันตรายจากเหล็กสะสมในร่างกายได้
   9 ในระหว่างที่ยังมีภาวะโลหิตจาง ควรออกกำลังกายเพียงเท่าที่กำลังของร่างกายจะสู้ไหว ไม่ควรฝึน
ออกกำลังกายมากจนหอบเกินกำลัง ซึ่งอาจทำให้หัวใจล้มเหลวได้ 
10 ลดอาหารรสเค็มจัด
สามารถป้องกันและแก้ไขได้ง่ายๆ ด้วยการกินอาหารที่ถูกต้อง และการเสริมบำรุงด้วยยาที่เข้าธาตุเหล็ก หรือยาบำรุงโลหิต
วิธีแก้ไขฟื้นฟู : 1.การออกกำลังกายต่อเนื่อง อย่างน้อย 30 นาที เช่นการเต้นแอโรบิก จะช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น
 2.ดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้ว ปริมาณน้ำที่เหมาะสม 4 ลิตร
 3.นอนหลับพักผ่อน 6-8 ชั่วโมงต่อวัน
 4.อาหารที่กิน ให้แบ่งเป็นอาหารประเภทกรด (แป้ง น้ำตาล และเนื้อสัตว์) 20% อาหารประเภทเบส (ผักและผลไม้) 80% การกินอาหารในสัดส่วนนี้จะช่วยระบบย่อยอาหารดีขึ้น
ประโยชน์ของเลือดต่อชีวิตมนุษย์ 
๑. ทำหน้าที่ในการหายใจ โดยนำออกซิเจนจากปอดไปสู่เนื้อเยื่อของอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย และนำคาร์บอนไดออกไซด์จากเนื้อเยื่อของอวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกายมาฟอกที่ปอด 
๒. ทำหน้าที่ลำเลี้ยง เช่น นำอาหารที่ดูดซึมจากลำไส้ฮอร์โมน วิตามิน เกลือแร่ และของเสีย (จากการเผาไหม้ ไปสู่อวัยวะต่างๆ ของร่างกาย) 
๓. รักษาดุลน้ำ และดุลความเป็นกรดด่างของร่างกาย 
๔. รักษาระดับอุณหภูมิของร่างกาย โดยการกระจายความร้อน 
๕. เม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือดทำหน้าที่ต่อต้านการติดเชื้อ 
๖. ปัจจัยต่าง ๆ ของการแข็งตัวของเลือดและเกล็ดเลือด มีหน้าที่เกี่ยวกับการห้ามเลือดโดยตรง 

เนื่องจากเลือดและส่วนประกอบต่าง ๆ ของเลือดมีหน้าที่เฉพาะตัว เมื่อผู้ป่วยเสียเลือด หรือเมื่อร่างกายขาดส่วนใดส่วนหนึ่งของเลือดจนทำให้เกิดอาการผิดปกติขึ้น จึงมีความจำเป็นต้องให้เลือดหรือส่วนประกอบของเลือดส่วนที่ขาดนั้นทดแทนให้เพียงพอปัจจุบัน ยังไม่มีโรงงานผลิตเลือดหรือ ส่วนประกอบของเลือดดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีผู้ที่มีจิตศรัทธาบริจาคเลือด ภายในร่างกายซึ่งเป็นส่วนเกินสำหรับให้ทดแทน มิฉะนั้น ผู้ป่วยที่ขาดเลือดหรือส่วนประกอบส่วนใดส่วนหนึ่งของเลือดอาจเสียชีวิตได้
Mean cell hemoglobin concentration (MCHC)เป็นการวัดความเข็มข้นของ hemoglobin 
ความเข้มข้นเฉลี่ยของตัวพาออกซิเจน (ฮีโมโกลบิน) ในเม็ดเลือดแดงหนึ่งเม็ด หรือพูดอีกอย่างว่าคือค่าบอกสัดส่วนของฮีโมโกลบินต่อปริมาตรเม็ดเลือด 
ความเข้มข้นของฮีโมโกลบินโดยเฉลี่ย( 32.0-36.0 ) พ่อได้ 33.9 ปกติ
Red cell distribution width (RDW) คือการวัดความแปรปรวน ของขนาดของเม็ดเลือดแดงในเลือด  วัดความกว้างของการกระจายของขนาดเม็ดเลือดแดง ภาวะเลือดจาง ( 9.0-15.0 ) พ่อได้ 13.8 ปกติ 
มีผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกันโรคและการเจ็บป่วย มีผลกระทบต่อระบบการเรียนรู้ บุคลิกภาพ และการเจริญเติบโต  
ทำให้ร่างกายอ่อนแอเป็นโรคต่างๆ ได้ง่ายขึ้น
ธาตุเหล็กเป็นองค์ประกอบสำคัญในร่างกาย ถ้าขาดจะมีผลต่อระบบร่างกายหลายอย่าง เช่น ไม่มีแรง อ่อนเพลีย สมองเฉื่อย ที่สำคัญทำให้เกิดโรคโลหิตจาง (Anemia) ได้ เนื่องจากธาตุเหล็กเป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างเม็ดเลือดแดง
           ใครที่ไม่อยากขาดธาตุเหล็ก จึงต้องรู้จักเลือกทานอย่างชาญฉลาด
           ความจริงแล้วธาตุเหล็กมีมากในอาหารที่เรา ๆ ท่าน ๆ ทั้งหลายรู้จักคุ้นเคยกันดี ไม่ว่าจะเป็นอาหารประเภทเนื้อสัตว์ธัญพืช หรือผักต่าง ๆ (ฮั่นแน่ กำลังกังวลอยู่ว่าจะหาทานได้ที่ไหนใช่มั้ย ทีนี้ก็สบายใจได้แล้วค่ะ) และถ้ารู้จักเลือกทานในสัดส่วนที่เหมาะสม ก็จะได้รับธาตุเหล็กอย่างเพียงพอค่ะ
          สำหรับอาหารที่เป็นแหล่งของธาตุเหล็ก ได้แก่ เนื้อสัตว์ ตับหมู ตับวัว เลือดหมู นม ไข่ มันฝรั่ง ข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้อง ถั่วชนิดต่าง ๆ รำข้าว ผลไม้สุกตากแห้ง ผักใบเขียว (โดยเฉพาะคะน้าและผักโขม) เป็นต้น
ควรกินวิตามินซีหรืออาหารที่ให้วิตามินซีสูงไปพร้อมกับพืชผักที่มีธาตุเหล็กสูง เช่น ผักกูด ผักแว่น ใบแมงลัก เห็ดฟาง พริกหวาน กะเพราแดง ขึ้นฉ่าย หรือถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ เพื่อช่วยในการดูดซึมและนำไปใช้ได้ดีขึ้น 
แหล่งอาหารของธาตุเหล็ก
การป้องกันไม่ให้ซีดจากการขาดธาตุเหล็กที่ดีที่สุดก็คือ การกินอาหารที่มีธาตุเหล็กให้มากพอต่อความต้องการของร่างกาย โดยทั่วไปธาตุเหล็กในอาหารจะอยู่ใน  ๒ รูปแบบ คือ สารประกอบฮีม (heme iron) และสารประกอบที่ไม่ใช่ฮีม (nonheme iron) 
ธาตุเหล็กในรูปแบบสารประกอบฮีม พบมากในแหล่งอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ เช่น เลือด ตับ เนื้อสัตว์ต่างๆ โดยเฉพาะเนื้อแดง ร่างกายจะสามารถดูดซึมและนำไปใช้ได้ดี สามารถดูดซึมได้ถึงประมาณร้อยละ ๒๐-๓๐ คนที่มีความต้องการธาตุเหล็กสูงควรกินอาหารประเภทนี้เป็นประจำ สัปดาห์ละ ๑-๒ ครั้ง
สารประกอบธาตุเหล็กที่ไม่ใช่ฮีม พบได้ในอาหารประเภท ธัญพืช แป้ง ไข่ ผักใบเขียวเข้ม เช่น ผักคะน้า ผักบุ้ง รวมทั้งถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ  แต่ธาตุเหล็กที่ไม่ใช้ฮีม ร่างกายจะดูดซึมธาตุเหล็กไปใช้ได้น้อยกว่าประเภทฮีมมาก กล่าวคือสามารถดูดซึมได้เพียงร้อยละ ๓-๕ เท่านั้น ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากอาหารประเภทนี้ต้องอาศัยกรดเกลือในกระเพาะอาหาร เพื่อช่วยทำให้ธาตุเหล็กออกมาจากอาหารก่อน จากนั้นร่างกายจึงสามารถดูดซึมที่เยื่อบุผิวของลำไส้เล็กได้ 
อย่างไรก็ตาม การดูดซึมสารประกอบธาตุเหล็กที่ไม่ใช่ฮีมนี้จะดียิ่งขึ้นถ้ากินร่วมกับเนื้อสัตว์ หรืออาหารที่มีวิตามินซีสูง จำพวก ฝรั่ง มะละกอ ส้ม เป็นต้น
ในทางตรงกันข้ามสารไฟเตต (phytate) พบในข้าวที่ไม่ได้ขัดสี พืชใบสีเขียวเข้ม ถั่วเมล็ดแห้ง เช่น ถั่วเหลือง และสารแทนนิน ที่พบในน้ำชา กาแฟ จะขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็ก ดังนั้น ผู้ที่ไม่นิยมกินอาหารเนื้อสัตว์ การรู้จักจัดองค์ประกอบของอาหารที่กินอย่างเหมาะสมจะทำให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กที่ไม่ใช่ฮีมไปใช้ได้ดีขึ้น 
ตัวอย่างการศึกษาพบว่า การกินอาหารประเภทข้าวและผักที่เรากินอยู่เป็นประจำนั้น ถ้าเราไม่ได้กินเนื้อสัตว์เลย หรือกินเนื้อสัตว์น้อยกว่า ๒ ช้อนกินข้าวใน ๑ วัน การดูดซึมธาตุเหล็กที่มีอยู่ในอาหารนั้นจะมีเพียงร้อยละ ๓-๑๐ เท่านั้น แต่ถ้าเรากินเนื้อสัตว์เพิ่มเป็น ๔-๖ ช้อนกินข้าวใน ๑ วัน หรือได้วิตามินซีจากผลไม้ ๒๕-๗๕ มิลลิกรัม เช่น กินฝรั่งประมาณครึ่งลูก การดูดซึมของธาตุเหล็กที่มีอยู่ในข้าวและผักนั้นจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ ๑๐-๑๒ ยิ่งถ้าเรากินเนื้อสัตว์มากกว่า ๖ ช้อนกินข้าวใน ๑ วัน หรือได้วิตามินซีมากกว่า ๗๕ มิลลิกรัมต่อวัน ธาตุเหล็กจะถูกดูดซึมไปใช้ได้สูงถึงประมาณร้อยละ ๑๕
วิธีที่จะช่วยทำให้ดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีก็คือ ดื่มน้ำส้มหนึ่งแก้วในระหว่างทานอาหารอาหารที่มีธาตุเหล็กสูงอย่างเช่น เนื้อแดง ปลา เป็ด และไก่ วิธีป้องกันการขาดธาตุเหล็กก็คือ ควรกินเนื้อสัตว์สัปดาห์ละ 3 ครั้ง
รายชื่อผักที่มีธาตุเหล็กสูงสุด 10 อันดับแรก
1. ผักกูด 36.3 มิลลิกรัม/ 100 กรัม
2. ถั่วฟักยาว 26 มิลลิกรัม/ 100 กรัม
3. ผักแว่น 25.2 มิลลิกรัม/ 100 กรัม
4. เห็ดฟาง 22.2 มิลลิกรัม/ 100 กรัม
5. พริกหวาน 17.2 มิลลิกรัม/ 100 กรัม
6. ใบแมงลัก 17.2 มิลลิกรัม/ 100 กรัม
7. ใบกะเพราะ 15.1 มิลลิกรัม/ 100 กรัม
8. ผักเม็ก 11.6 มิลลิกรัม/ 100 กรัม
9. มะกอก (ยอด) 9.9 มิลลิกรัม/ 100 กรัม
10. กระถิน (ยอดอ่อน) 9.2 มิลลิกรัม/ 100 กรัม
สรุป หมอบอกเม็ดเลือดแดงปกติดี 
การตรวจเม็ดเลือดขาว
WBC (White Blood Cell Count) หรือ ปริมาณเม็ดเลือดขาวทุกชนิด ในเลือดรวมกัน ค่าปกติ จะอยู่ ประมาณ 5000-10000 cell/ml ถ้าจำนวน WBC ต่ำมาก อาจจะเกิดจากโรคที่มีภูมิต้านทานต่ำบางอย่าง หรือ เกิดจากการติดเชื้อไวรัสบางประเภท หรือ โรคที่มีการสร้างเม็ดเลือดผิดปกติ เช่น Aplastic Amemia หรือไขกระดูกฝ่อซึ่งจะทำให้มีการสร้างเม็ดเลือดทุกชนิดลดลงทั้งหมด (ทั้ง เม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดแดง และเกร็ดเลือด ต่ำหมดทุกตัว)
ถ้าWBC มีจำนวนสูงมาก อาจจะเกิดจากการติดเชื้อพวกแบคทีเรีย แต่จะต้องดูผล การนับแยกชนิดของเม็ดเลือดขาว (Differential Count) ประกอบด้วย
Differential Count การนับแยกชนิดของเม็ดเลือดขาว จะรายงานออกมาเป็น % ของเม็ดเลือดขาวชนิดต่างๆ (ดังนั้นรวมกันทั้งหมดทุกชนิดจะต้องได้ 100 (%) พอดี) ตัวสำคัญหลักๆ ดังนี้
 1.นิวโทรฟิล (Neutrophils) สร้างมาจากไขกระดูก ร่างกายใช้กำจัดสิ่งแปลกปลอม มีหน้าที่ทำลายเชื้อ
แบคทีเรีย ถ้าร่างกายมีการติดเชื้อแบคทีเรียหรือได้รับบาดเจ็บ จะทำให้นิวโทรฟิลสูงขึ้น ค่าปกติ ประมาณ 50-60% ถ้าสูงมากเช่น มากกว่า 80% ขี้นไป และโดยเฉพาะถ้า สูงและมีปริมาณWBC รวม มากกว่าหมื่นขึ้นไป จะทำให้นึกถึงภาวะมีการติดเชื้อแบคทีเรีย  ปริมาณเซลล์ต้านแบคทีเรีย  ( 46.5-75.0 ) พ่อได้ 47.5  ปกติ 
 2.ลิมโฟไซต์ (Lymphocyte) หรือเม็ดน้ำเหลือง มีหน้าที่สร้างภูมิคุ้มกันโรคให้กับร่างกาย ต่อสู้การติดเชื้อ
แบคทีเรียเรื้อรังและการติดเชื้อไวรัสเฉียบพลัน ถ้าพบ Lymphocyte ในปริมาณ สัดส่วนสูงขึ้นมามากๆ โดยเฉพาะร่วมกับ ภาวะเม็ดเลือดขาว(WBC)โดยรวมต่ำลง อาจจะเกิดจากการติดเชื้อไวรัส โดยเฉพาะถ้ามีLymphocyte ที่รูปร่างแปลกๆและตัวโตผิดปกติ ที่เรียกกันว่า Atypical Lymphocyte จำนวนมากร่วมกับ เกล็ดเลือดต่ำ และ Hct สูง จะพบได้บ่อยในผู้ที่เป็นไข้เลือดออก    ปริมาณเซลล์ต้านไวรัส  ( 12.0-44.0 ) พ่อได้ 34.3 ปกติ  Lymphocyte อยู่ในต่อมน้ำเหลือง จะมีหน้าที่สร้าง antibody และทำลายสิ่งแปลกปลอม
  3.โมโนไซต์ (Monocyte) ทำหน้าที่กำจัดสิ่งแปลกปลอม และสร้าง antibody ต่อต้านเชื้อโรค
ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อโรคที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งเม็ดเลือดขาวชนิดอื่นทำลายไม่ได้ และสามารถสร้างภูมิคุ้มกันโรคได้ด้วย     ปริมาณเซลล์กำจัดสิ่งแปลกปลอม  ( 0.0-11.2 ) พ่อได้ 6.7  ปกติ 

  4.อีโอซิโนฟิล (Eosinophils)  สร้างมาจากไขกระดูก ทำหน้าที่กำจัดสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้ามาในร่างกายและทำลายสารที่เป็นพิษที่ทำให้เกิดการแพ้สารของร่างกาย เช่นโปรตีนในอาหาร ฝุ่นละออง เกสรดอกไม้   มีหน้าที่ทำลายสารพิษที่ทำให้เกิดอาการแพ้สารของร่างกาย เช่น โปรตีน ฝุ่นละออง 
เกสรดอกไม้ เป็นต้น และยังช่วยทำให้เลือดคงสภาพเป็นของเหลวอยู่ตลอดเวลาไม่แข็งตัว ปกติไม่ค่อยพบอาจจะพบได้ 1-2% จะพบมีค่าสูงได้บ่อยในภาวะภูมิแพ้ หรือมีพยาธิ  
ปริมาณเซลล์บ่งภูมิแพ้   ( 0.0-9.5 ) พ่อได้ 10 มากกว่าปกติหมายความว่าเป็นโรคภูมิแพ้ ได้ง่าย
โรคภูมิแพ้ (Allergic disorders) เกิดจากร่างกายมีปฏิกิริยาต่อสิ่งที่แพ้ แล้วปล่อยสารแพ้ เช่น
 ฮิสตามีน (Histamine) ออกมา ถ้าสารแพ้นี้มาแสดงปฏิกิริยาที่ผิวหนังก็ทำให้เป็นโรคแพ้ทางผิวหนัง
 เช่น ลมพิษ , ผื่นคันหรือเอกซีม่า  เป็นต้น, ถ้าแสดงออกที่ตาก็กลายเป็นโรคเยื่อตาขาวอักเสบ,   ถ้า
 แสดงออกที่จมูกก็กลายเป็นหวัดแพ้อากาศ , ถ้าแสดงออกที่หลอดลมก็กลายเป็นหืดโรคนี้มักมีสาเหตุ
 จากกรรมพันธุ์ คือ มีพ่อแม่ปู่ย่าตายาย ญาติพี่น้องเป็นโรคภูมิแพ้อยู่ด้วย นอกจากนี้ อารมณ์กับจิตใจ
 ก็มีส่วนกระตุ้นให้เกิดอาการได้เช่นกัน ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้อาจแสดงออกเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งหรือ
 หลาย ๆ อย่างพร้อมกันก็ได้
 สิ่งที่แพ้ (Allergen) มักได้แก่ ความเย็น ความร้อน แดด ฝุ่น ขนสัตว์ ละอองเกสร นุ่น (ที่นอน หมอน)
 ไหม อาหารทะเล เนื้อสัตว์ ไข่ แมลง เชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย ตัวไร พยาธิ สารเคมี โลหะ เหล้า (แอล
 กอฮอล์) ยา (แอสไพริน เพนิซิลลิน ซัลฟา) เป็นต้น
 ผู้ป่วยมักจะแพ้สารได้หลาย ๆ อย่าง และมีโอกาสแพ้ยาได้ง่ายกว่าคนที่ไม่ได้เป็นโรคภูมิแพ้ จึงควร
 ระมัดระวังในการใช้ยาสำหรับผู้ป่วยโรคนี้
 การแพ้อาจเกิดขึ้นโดยการสัมผัส สูดดม กิน หรือฉีดเข้าร่างกายทางใดทางหนึ่ง โรคภูมิแพ้ทุกชนิด
 รวมกันแล้ว พบได้ประมาณ 30% ของคนทั่วไป 
ร่างกายสร้างเม็ดเลือดขาวมากเพื่อออกมาสู้กับเชื้อโรค ซึ่งมันสามารถขึ้นลงได้ตามสภาพของร่างกาย 
  5. เบโซฟิล (Basophils) มีหน้าที่สร้างสารเฮปาริน (Heparin) ซึ่งเป็นสารป้องกันมิให้เลือดใน
ร่างกายแข็งตัว และ สร้างฮีสตามิน(Histamine) ช่วยขยายผนังของหลอดเลือด จะพบมีค่าสูงในภาวะภูมิต้านทานมีความไวต่อสิ่งกระตุ้น  ทำหน้าที่จับสิ่งแปลกปลอม ทำหน้าที่หลั่งสาร haparin เป็น
 สารที่ป้องกันการแข็งตัวของเลือด  ( 0.0-2.5 ) พ่อได้ 1.5 ปกติ
การนับจำนวนเกร็ดเลือด (Platelet count) เกร็ดเลือดเป็นเซลล์เม็ดเลือด คล้ายเศษเม็ดเลือดแดง เป็นตัวที่ช่วยในการหยุดไหล ของเลือด เวลาเกิดบาดแผล ช่่วยทำให้เลือดแข็งตัวเมื่อเกิดบาดแผล 
  -  ปริมาณของเกร็ดเลือดที่มากเกินไปทำให้เกิดการแข็งตัว   ของเลือดได้ง่าย และนำไปสู่การเกิดก้อนลิ่มเลือดอุดตัน   เส้นเลือดได้
  -  ปริมาณของเกร็ดเลือดน้อยเกินไปก็ ทำให้เกิดความ   ผิดปกติในกระบวนการห้ามเลือด เกิดเลือดไหลหยุดช้า     หรือเลือดไหลไม่หยุดได้
ปริมาณเกล็ดเลือด Plt Count  ( 150-450 ) พ่อได้ 350 ปกติ 
 การตรวจวัดขนาดโดยเฉลี่ยของเกร็ดเลือด mpv(6.0- 12.0) พ่อได้ 9.5 ปกติ
MPV (Mean Platelet Volume) ขนาดเฉลี่ยของเกล็ดเลือด แปรผันตามการผลิตของเกล็ดเลือด เกล็ดเลือดใหม่จะมีขนาดใหญ่กว่าเกล็ดเลือดเก่า
สรุป หมอบอกเม็ดเลือดขาวปกติดี มีEosinophils สูงกว่าเกณฑ์เพียงเล็กน้อย ไม่เป็นไร 
ช่วงที่ตรวจพักผ่อนน้อย อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่สะอาด มีฝุ่นหรือขนสัตว์
โรคภูมิแพ้ ระบบทางเดินหายใจได้แก่ หืด จมูกอักเสบ แพ้จากไรฝุ่นราว 30% ในฝุ่น จะมีตัวไรฝุ่นแฝงอยู่ เรามองไม่เห็น ชอบอากาศชื้น ในบ้านเรือนจะเกาะอยู่ทั่วไปและ บนโต๊ะทำงาน บนหนังสือที่วางอยู่ข้างหน้าเรา 
          นอกจากนี้ยังอยู่ทั่วไปในบ้าน ห้องนอน ได้แก่ ที่นอน หมอน มุ้ง ผ้าห่ม พรมปูพื้น ผ้าม่าน ตุ๊กตา และเครื่องเฟอร์นิเจอร์ รวมทั้งวัตถุสะสมต่าง ๆ ชอบอุณหภูมิราว 25 องศา ความชื้น 70-80 หน่วย ออกไข่มาก ขยายพันธุ์รวดเร็ว ทั้งตัวและมูลมีโปรตีนก่อภูมิแพ้สูง เรียงลำดับแพ้จากมากไปน้อย คือมูล ตัวแก่ ตัวอ่อน และไข่
จึงควรดูแลความสะอาดให้มาก
ปฎิบัติตนอย่างไร …..เมื่อเป็นโรคภูมิแพ้
1. ในห้องนอน   ควรมีเครื่องตกแต่งห้องน้อยชิ้นที่สุด
หมั่นทำความสะอาด และกำจัดฝุ่นละอองเป็นประจำ
2. ในกรณีแพ้ไรฝุ่น ควรทำความสะอาดเครื่องนอน (ที่นอน,หมอน,ผ้าห่ม) โดยซักด้วย น้ำร้อน  600C นาน 15-20 นาที อย่างน้อยทุก 2 สัปดาห์
3. ไม่ใช้พรม เก้าอี้เบาะหุ้มผ้า หมอนนุ่น ตุ๊กตาที่ทำจากนุ่น หรือขนสัตว์
4. ไม่เลี้ยงสัตว์ที่มีขนในบ้าน เช่น สุนัข แมว นก
5. กำจัดเศษอาหาร และขยะต่างๆ รวมทั้งปิดฝาท่อระบายน้ำเพื่อไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์แมลงสาบ
6. ทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศบ่อยๆ และใช้แบบที่มีเครื่องกรองอากาศชนิด HEPA filter
7. ระวังไม่ให้บ้าน ห้องน้ำ อับชื้น และไม่ควรปลูกต้นไม้ในบ้านเพราะทำให้เชื้อราเติบโต
8. อย่าไปใกล้บริเวณที่มีควันบุหรี่ ควันไฟ และบริเวณที่มีฝุ่นมาก
9. ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ หากมีอาการหอบเหนื่อยเวลาออกกำลังกาย ควรสูดยา ป้องกันอาการหอบก่อน
10. ใช้ยาตามที่แพทย์สั่งเท่านั้น ไม่ควรซื้อยามาใช้เอง เพราะบางชนิดถ้าใช้ต่อเนื่องนานอาจมีอันตรายได้
http://www.health.co.th/Journal3/111%20ObesityTreatment.html  ดีมาก เวปการดูแลสุขภาพ


ผลตรวจปัสสาวะ
ความถ่วงจำเพาะ (Specific gravity) ของปัสสาวะเป็นการวัดความเข้มข้นของสารละลายในปัสสาวะ จึงมีประโยชน์ในการวัดความสามารถของไตในการควบคุมความเข้มข้นของปัสสาวะที่มีสารต่างๆ ซึ่งไตจะขับออกมา โดยเฉพาะยูเรีย โซเดียม คลอไรด์ ซึ่งเป็นสารที่พบมากในปัสสาวะ และเป็นการวัดความสามารถในการดูดซึมกลับของท่อไต ซึ่งดูดซึมสารต่างๆ รวมทั้งน้ำด้วย
รายละเอียด Spc. Gravity (ความถ่วงจำเพาะ) 
ความหมาย -ถ้า สูงเกินไป อาจจะเกิดจากร่างกายขาดน้ำ เช่นดื่มน้ำน้อย ท้องร่วงรุนแรง 
-ถ้า ต่ำไป อาจจะเกิดจาก กินน้ำมากเกิน ร่างกายจึงกำจัดน้ำออกมาทางปัสสาวะเยอะหรือเป็นโรคที่ทำให้มีปัสสาวะมีน้ำออกมามากผิดปกติ
 เช่น โรคเบาจืด
ค่ามาตรฐาน 1.003-1.035
 พ่อได้ 1.023 ปกติ 
รายละเอียด pH
ความหมาย ดูความเป็นกรด ด่าง เป็น กรดพบในภาวะอดอาหาร รับประทานโปรตีนมากไป หรือการติดเชื้อจากยาบางชนิดเป็น ด่าง พบในภาวะกินเจ หรือยาบางชนิด
ค่ามาตรฐาน 4.5-8  
 พ่อได้ 5.5 ปกติ
§
ภาวะความเป็นกรดเป็นด่าง (pH) ค่าพีเอช (pH) ของปัสสาวะจะแสดงให้เห็นถึงสมรรถภาพของไตในการรักษาสมดุลของระดับไฮโดรเจนไอออน (hydrogen ion) ในเลือดและสารน้ำนอกเซลล์ ปกติการเผาผลาญในระบบของร่างกายให้ผลผลิตที่เป็นกรด ซึ่งถูกขับออกส่วนใหญ่ทางปัสสาวะ มีผลให้พีเอช (pH) เปลี่ยนแปลงไปตามกระบวนการเผาผลาญอาหาร ชนิดของอาหาร โรคและการใช้ยา การวัดพีเอช (pH) ของปัสสาวะจะต้องใช้ปัสสาวะที่ถ่ายใหม่ๆ เพราะถ้าตั้งปัสสาวะทิ้งไว้นานจะเป็นด่างมากจากแอมโมเนียเกิดจากการเปลี่ยนของยูเรียโดยแบคทีเรียที่เจริญขณะตั้งปัสสาวะทิ้งไว้
 การตรวจสภาพการทำงานของไต (Blood Urea Nitrogen and Creatinine)  
Blood Urea Nitrogen (BUN) คือการหาสาร Urea Nitrogen ในเลือดเพื่อดูการทำงานของไต 
ทั้งนี้เนื่องจากยูเรียเป็นผลิตผลสุดท้ายของการเผาผลาญโปรตีน ซึ่งจะถูกขับออกทางไต 
BUN เพิ่มขึ้น พบได้ในกรณีที่มีการสังเคราะห์ยูเรียมากไป โดยอาจมาจากสาเหตุจาก
* การรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง
* มีการทำลายของโปรตีนในร่างกายมาก เช่น ภาวะไข้, ติดเชื้อ,ได้รับการผ่าตัดใหญ่
* ระยะหลังของการตั้งครรภ์
* มีภาวะขาดน้ำ เช่น ในคนที่เป็นโรคเบาหวาน เป็นต้น
BUN( 8.0-20.0 )  พ่อได้ 9.70 ปกติ 
2.2 Creatinine (Cr) คือการหาสาร Creatinine ในเลือดเพื่อประเมินสมรรถภาพของไต 
ข้อแนะนำในการปฏิบัติตน ในกรณีที่มีค่า BUN และ Creatinine สูงกว่าปกติ
* ควรลดอาหารที่มีรสเค็มจัด
* หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง
* ควรปรึกษาแพทย์
สมรรถภาพของไต ( 0.50.-1.50 )  พ่อได้ 1.15 ปกติ
2.3 ตรวจระดับไขมันโคเลสเตอรอลในเลือด (Cholesterol) คือการหาค่า Cholesterol ซึ่งเป็นไขมันที่ได้ มาจาก
การรับประทานอาหารและร่างกายสร้างขึ้นเองบางส่วน Cholesterol เป็นสารสำคัญสำหรับร่างกายแต่ถ้ามีมาก
เกินไป จะทำให้มีการพอกของไขมันในหลอดเลือด และอวัยวะอื่นๆ เช่น ตับ
 โคเลสเตอรอล( น้อยกว่า200 )  พ่อได้ 183 ปกติ 
ไขมันในเลือดสูงหรือโคเลสเตอรอลในเลือดสูง  โรคนี้มักจะไม่มีอาการหรืออาการแสดงให้เห็น จากการศึกษาพบและยืนยันว่า ภาวะโคเลสเตอรอลในเลือดสูงนี้ เป็นสาเหตุทำให้หลอดเลือดแดงแข็งและตีบและต่อมาจะทำให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือด (เจ็บแน่นที่อกกล้ามเนื้อหัวใจตาย เสียชีวิตอย่างฉับพลัน) หรือเกิดโรคสมองขาดเลือด(อัมพาต อัมพฤกษ์)
โคเลสเตอรอลในเลือด เป็นไขมันชนิดหนึ่งในร่างกายได้มาจาก การเผาผลาญอาหารที่รับประทานมากเกินไป หรืออาหารพวกไขมัน อีกส่วนหนึ่งได้มาจากร่างกายสังเคราะห์ขึ้นมาใช้เอง และยังเหลือเก็บสะสมเป็นพลังงานสำรองไว้ใช้ในโอกาสต่อไป
1. โคเลสเตอรอล ชนิดให้โทษ เรียก แอลดีแอล LDL ถ้ามีระดับสูงมากในเลือด จะนำโคเลสเตอรอลไปจับสะสมอยู่ตามผนังหลอดเลือดแดงทั่วร่างกาย ทำให้หลอดเลือดแดงแข็งและตีบแคบ ภาวะนี้จะไม่มีอาการรบกวนใด ๆ ทั้งสิ้น จะดำเนินอยู่นานเป็นสิบปีจนกระทั่งหลอดเลือดแดงตีบและอุดตัน จึงจะเกิดอาการต่าง ๆ ดังกล่าว
ของพ่อมี  LDL ในเลือดที่ระดับปกติ ( น้อยกว่า130 ) พ่อมี 110
2. โคเลสเตอรอล ชนิดให้คุณประโยชน์ เรียน เฮชดีแอล HDL ทำหน้าที่จับสารโคเลสเตอรอลตามผนังหลอดเลือดเอาไปทำลายที่ตับ จากการศึกาษวิจัยพบว่าบุคคลที่มีระดับ เฮชดีแอลในเลือดสูงมักจะมีอายุยืนยาวกว่าผู้ที่มีระดับ เฮชดีแอลในเลือดต่ำ ปัจจุบันเชื่อว่า "เฮชดีแอลช่วยป้องกันการเกิดหลอดเลือดแดงแข็งและตีบแคบ"ไขมันในเลือดปกติ ของพ่อมี เฮชดีแอลในเลือดระดับปกติ ( มากกว่า 40 ) พ่อมี 59
สาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะไขมันในเลือดสูง รับประทานอาหารไขมันมาก ไม่ค่อยออกกำลัง
อันตรายที่เกิดขึ้นจากภาวะไขมันในเลือดสูง
1.ไขมันส่วนเกินจะไปตกตะกอนตามผนังของเส้นเลือด ทำให้ผนังเส้นเลือดหนา และแข็ง จะทำให้ตีบตันได้ง่าย ถ้าเป็นที่เส้นเลือดหัวใจทำให้เกิดหัวใจขาดเลือด 
2. ถ้าเป็นที่เส้นเลือดที่เลี้ยงสมอง ทำให้เส้นเลือดตีบตันเกิดอัมพาต
3.เส้นเลือดไปเลี้ยงบริเวณขาไม่พอ ทำให้เวลาเดินแล้วปวดน่อง
4. ตับอ่อนอักเสบ 
2.4 ตรวจระดับไขมันไทรกรีเซอไรด์ (Triglyceride) คือ ไขมันที่ได้จากการรับประทานอาหารและการ สร้างขึ้นเอง
ในร่างกาย เมื่อถูกเผาผลาญจะให้พลังงานมาก ระดับ Triglyceride มักไม่ค่อยคงที่ สูงๆ ต่ำๆ ได้ง่าย ขึ้นอยู่กับ
ปริมาณอาหารที่รับประทาน ในกรณีที่สูงมากๆและเป็นเวลานาน ก็อาจเป็นผลให้เกิดโรคหลอดเลือดตีบตันได้
ไขมันไทรกรีเซอไรด์น้อยกว่า150 )  พ่อได้ 84 ปกติ
ข้อควรปฏิบัติเพื่อลดไขมันในเลือด
+ ควบคุมปริมาณอาหารประเภทไขมันสูง เช่น ไข่แดง เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล เนื้อสัตว์ติดมัน เนย กะทิ เป็นต้น
+ เลี่ยงอาหารที่ปรุงด้วยน้ำมันปริมาณมากๆ หรือถ้าจะใช้ก็ควรใช้น้ำมันจากพืช (เช่น น้ำมันถั่วเหลือง )
+ เพิ่มอาหารที่มีเส้นใยมาก เช่น คะน้า หอมใหญ่ ฝรั่ง ส้ม ฯลฯ
+ งดหรือลดบุหรี่
+ งดเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์
+ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
2.6 ตรวจระดับกรดยูริคในเลือด (Uric Acid) คือ การตรวจหายูริคซึ่งเป็นของเสียที่เป็นผลมาจากการเผาผลาญ สารพิวรีน
(purine) ซึ่งมีมากในเครื่องในสัตว์ เนื้อสัตว์ สัตว์ปีก อาหารทะเล ยอดอ่อนของผัก เช่น หน่อไม้ เห็ด แตงกวา ถั่วเกือบ
ทุกชนิด และเกิดจากการสลายตัวของเซลล์ในร่างกาย กรดยูริคที่มีอยู่ในเลือดจะถูกขับออกทางไต ในกรณีที่มี ยูริคมาก
เกินไป จะทำให้ตกผลึกสะสมอยู่ตามข้อ ผิวหนัง ไต และอวัยวะอื่นๆ ทำให้เกิดโรคเก๊าท์ได้ ค่าปกติ 2.2 – 8.1 mg/dl
ข้อควรปฏิบัติ
* งดอาหารที่มีสารพิวรีนสูง เช่น เครื่องในสัตว์ เนื้อสัตว์ สัตว์ปีก อาหารทะเล ยอดอ่อนของผัก (เช่น หน่อไม้ ชะอม ยอด
ผักโขม เป็นต้น ) เห็ด แตงกวา ถั่วทุกชนิด
* งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
* ดื่มน้ำมากๆ เพื่อป้องกันการตกผลึกของกรดยูริค
การตรวจหาระดับกรดยูริคในเลือด
                กรดยูริคเป็นสารที่เกิดจากขบวนการทำลายโปรตีนในร่างกาย ปกติโปรตีนส่วนใหญ่จะถูกทำลายเป็นยูเรีย มีส่วนน้อยเป็นยูริค ถ้ากรดยูริคเกิน 7.5  จะตกตะกอนเป็นผลึกรูปเข็มซึ่งจะเป็นพิษต่อเนื้อเยื่อของร่างกาย  ดังนั้นเหตุผลที่สำคัญที่ต้องตรวจระดับกรดยูริค  คือ  เป็นโรคที่พบบ่อยและถ้าปล่อยให้ระดับกรดยูริคสูงอยู่นานหลายปี  จะก่อให้เกิดโรคข้ออักเสบที่เรียกว่าโรคเกาท์ และก่อให้เกิดผลึกในไตทำให้ไตเสื่อมสภาพได้  และยังทำให้หลอดเลือดเสื่อมสภาพเกิดภาวะหลอดเลือดตีบหรือตันได้    กรดยูริคในเลือด ( 3.4.-7.0 )  พ่อได้ 6.4 ปกติ
ผู้ที่ตรวจพบภาวะกรดยูริคในเลือดสูง ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารประเภทสัตว์ปีก เครื่องในสัตว์ หน่อไม้ กระถิน กะหล่ำดอก ชะอม
1. ให้ดื่มน้ำมาก ๆ จะช่วยขับกรดยูริค ช่วยรักษาสุขภาพของไต และ ป้องกันมิให้เกิดก้อนนิ่วที่ไต
2. งดเว้นอาหารที่ให้พลังงานมาก ได้แก่ ขนมหวานต่าง ๆ อาหารที่มีไขมันมาก เช่น อาหารทอด และ ขนมหวาน ที่มีน้ำตาล และ ไขมันมาก
3. รับประทานอาหารที่มีใยอาหารมาก จะช่วยลดน้ำหนัก
4. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะมีส่วนช่วยให้อาการของโรคเก๊าท์รุนแรงขึ้น
5. งดอาหารที่มีไขมันมาก เพราะไขมันจะขับกรดยูริคน้อยลง เกิดการคั่งของกรดยูริคในเลือดมากขึ้น 

ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ควบคุมความดันโลหิต  ควบคุมปริมาณโปรตีนที่รับประทานในแต่ละวัน  เพราะปริมาณโปรตีนที่สูงจะทำให้เลือดไปเลี้ยงที่ไตมากขึ้นทำให้ไตทำงานหนัก  และปริมาณโปรตีนยังก่อให้เกิดการคั่งของยูเรียในเลือดมากขึ้น  ทำให้เกิดอาการคลื่นใส้  อาเจียน  ทำให้ไตที่เสื่อมอยู่แล้วมีการเสื่อมมากขึ้น รักษาโดยการฟอกเลือดหรือล้างไตทางเส้นเลือดโดยอาศัยเครื่องไตเทียม  หรือล้างไตทางหน้าท้อง  แต่การรักษาที่ดีที่สุดคือการเปลี่ยนไต  หรือการผ่าตัดปลูกถ่ายไตซึ่งควรทำกับผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายเท่านั้น 

ตรวจการทำงานของตับ

เอนไซม์ SGPT หรืออีกชื่อที่เป็นทางการคือ Alanine aminotransferase (ALT) เป็นเอนไซม์ที่มีในเนื้อเยื่อต่าง ๆ ของร่างกาย แต่มีมากในตับและไต พบได้บ้างในหัวใจและกล้ามเนื้อ คนปกติมีระดับ SGPT (ALT) ในเลือดต่ำ เพศชายจะมีระดับ SGPT (ALT) สูงกว่าเพศหญิงเล็กน้อย เด็กแรกเกิดอาจมีระดับ SGPT (ALT) สูงกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากเซลล์ของตับยังพัฒนาไม่เต็มที่ ระดับจะลดลงเป็นปกติเมื่อเด็กอายุ 3 เดือน แต่เมื่อมีภาวะใดก็ตามที่ก่อให้เกิดอันตราย เสียหาย หรือการอักเสบต่อเซลล์ตับจะทำให้มีการปลดปล่อยSGPT (ALT) ออกมาในกระแสเลือดได้เป็นจำนวนมากเช่นเดียวกับ AST (SGOT) แต่ SGPT (ALT) มีความจำเพาะต่อโรคตับมากกว่า AST (SGOT) เมื่อตรวจพบ SGPT (ALT) ในเลือดสูงขึ้นมักจะบ่งชี้ว่ามีความผิดปกติของเซลล์ตับ  ALT ( 0 - 40 ) พ่อได้ 22 ปกติ
SGOT มีชื่อเรียกเป็นทางการว่าแอสพาร์เทต อะมิโนทรานสเฟอเรส (Aspartate aminotransferase: AST) เป็นเอนไซม์ที่มีในเนื้อเยื่อต่างๆ โดยมีมากในเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจและตับ ส่วนไต กล้ามเนื้อโครงสร้างและเม็ดเลือดแดงก็มีเอนไซม์นี้แต่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับตับและหัวใจ
SGOT (AST) จะอยู่ในเซลล์ทั้งส่วนไซโตพลาสซึม และไมโตคอนเดรีย ซึ่งต่างจาก ALT ที่มีแต่เฉพาะในไซโตพลาสซึม (cytoplasm) ไม่พบในไมโตคอนเดรีย คนปกติมีระดับ SGOT (AST) ในเลือดต่ำ เมื่อเนื้อเยื่อหรืออวัยวะที่มี SGOT (AST) มากได้รับอันตรายจากการติดเชื้อ สารพิษ หรือการขาดออกซิเจนหล่อเลี้ยง ส่งผลให้มีการรั่วซึมของ SGOT (AST) เข้ากระแสเลือด
ตับเป็นอวัยวะสำคัญซึ่งอยู่บริเวณด้านขวาบนของช่องท้อง และอยู่ใต้กะบังลม ตับมีหน้าที่สำคัญมากมายเช่น ผลิตน้ำดี ซึ่งจัดเป็นหน้าที่หลักของเซลล์ตับ, ควบคุมเมตาบอลิซึมของไขมัน โดยเฉพาะการสังเคราะห์คอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์, ผลิตสารที่เป็นปัจจัยการแข็งตัวของเลือด (clotting factors) แปรสภาพสารพิษและยาต่างๆให้อยู่ในรูปที่ร่างกายสามารถขับถ่ายออกไปได้
ปริมาณของ SGOT (AST) จะเป็นสัดส่วนโดยตรงกับจำนวนเซลล์ที่ได้รับอันตราย โดย SGOT (AST) จะเพิ่มสูงขึ้นในกระแสเลือด การตรวจวัด AST ในเลือดมีประโยชน์ในการตรวจความเสียหายของตับ เนื่องจากการอักเสบ ยาพิษ ตับแข็ง และโรคพิษสุราเรื้อรัง อย่างไรก็ตาม SGOT (AST) ไม่ได้มีความจำเพาะสำหรับตับ อาจจะเพิ่มขึ้นได้จากร่างกายส่วนอื่น ๆได้ด้วย
AST( 0 - 40 ) พ่อได้ 20 ปกติ
อัลคาไลน์ ฟอสฟาเตส (Alkaline phosphatase) เป็นเอนไซม์ที่มีอยู่ในเนื้อเยื่อเกือบทุกชนิดในร่างกายโดยเฉพาะอย่างยิ่งเยื่อหุ้มเซลล์ (cell membrane) พบมากในกระดูก ตับ ไต ลำไส้ และรก มีไอโซเอนไซม์ (isoenzyme) อยู่หลายชนิด

ALP มีหน้าที่ส่วนหนึ่งในกระบวนการขนส่งไขมันในลำไส้ กระบวนการสร้างกระดูกให้แข็งแรง ด้วยการเพิ่มแคลเซียมให้กระดูก ในซีรัมคนปกติ ALP จะเป็นประเภทที่มาจากตับและกระดูกเป็นส่วนใหญ่ ปัจจัยสำคัญในการกำหนดอัตราส่วนระหว่าง ALP ที่มาจากตับหรือกระดูกก็คืออายุและในบางช่วงอายุ เพศก็มีส่วนในอัตราส่วนดังกล่าว เช่น ALP ในเด็กที่กำลังเจริญเติบโตส่วนมากมาจากกระดูก ส่วน ALP ในหญิงตั้งครรภ์จะมีส่วนที่มาจากรกมากขึ้น
ระดับของ ALP ในเลือดมีประโยชน์ในการวินิจฉัยโรคตับและโรคกระดูก ในอดีตเชื่อว่า ALP จากเนื่อเยื่อต่าง ๆ ถูกขับออกทางท่อน้ำดีในตับ ถ้าท่อน้ำดีถูกอุดตัน ALP จะล้นเข้าไปในกระแสเลือด ปัจจุบัน พบว่าตับเป็นแหล่งที่สร้าง ALP ด้วย ในภาวะที่มีการอุดตันที่ท่อน้ำดี เซลล์ของตับ (hepatocytes) จะสร้าง ALP มากขึ้น ถ้าการอุดตันเกิดนอกตับ (extrahepatic obstruction) ระดับ ALP ในเลือดจะสูงกว่าถ้าการอุดตันเกิดภายในตับ (intrahepatic obstruction) หลังการผ่าตัดเอาสิ่งอุดตันออกระดับจะลดลงเป็นปกติ
เด็กมีระดับ ALP ที่พิกัดสูงสุดของ ALP ปกติ ในซีรัมของหญิงมีครรภ์ ช่วงสามเดือนก่อนคลอด ALP ส่วนใหญ่มาจากรก ระดับอาจอยู่ที่พิกัดสูงสุดของค่าปกติ ในหญิงมีครรภ์บางราย ค่า ALP จะสูงกว่าค่าปกติ  
ALP ( 39 -117 ) พ่อได้ 73 ปกติ

การตรวจระดับน้ำตาลในเลือด

การตรวจระดับน้ำตาลในเลือด (Fasting Blood Sugar)
เป็นการตรวจเพื่อหาโรคเบาหวาน โดยใช้วิธีการตรวจวัดระดับกลูโคส (น้ำตาล) ในเลือf หลังจากอดอาหารมาก่อน อย่างน้อย 8 ชั่วโมง   การมีเบาหวาน หมายถึง มีน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ และก่อให้เกิดโรคแทรกซ้อนตามมาได้ ทั้งชนิดเฉียบพลัน และชนิดเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวานขึ้นตา โรคไตจากเบาหวาน และนำไปสู่ภาวะไตวาย ซึ่งต้องอาศัยการรักษาด้วยการฟอกเลือด ซึ่งลำบากไม่น้อย เบาหวานยังก่อให้เกิดโรคของหลอดเลือดสมอง โรคอัมพาต และโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ และหลอดเลือดของแขนขาตีบ เกิดภาวะแผลหายยาก เนื้อตาย และอาจต้องสูญเสียอวัยวะบางส่วน
pic_a04
ผู้ที่ มีแนวโน้มเป็นเบาหวาน” ควรควบคุมอาหาร ลดน้ำหนัก และติดตามตรวจเลือดบ่อยขึ้น อาจจะปีละ 2-3 ครั้ง
เกณฑ์วินิจฉัยโรคเบาหวาน

คนปกติ
ระดับน้ำตาลขณะอดอาหาร <100 mg/dl
ระดับน้ำตาล 2 ชม.หลังกินกลูโคส 75 กรัม <140 mg/dl

คนใกล้เป็นเบาหวาน (prediabetes)
ระดับน้ำตาลขณะอดอาหาร 100-125 mg/dl
ระดับน้ำตาล 2 ชม.หลังกินกลูโคส 75 กรัม 140-199 mg/dl

คนเป็นเบาหวาน (diabetes)
ระดับน้ำตาลขณะอดอาหาร 126 mg/dl ขึ้นไป
ระดับน้ำตาล 2 ชม.หลังกินกลูโคส 75 กรัม 200 mg/dl ขึ้นไป
กลูโคสเป็นแหล่งพลังงานแห่งแรกสำหรับเซลล์ของร่างกาย ส่วนไขมันในเลือดในรูปของไขมันและน้ำมันเป็นแหล่งสะสมพลังงานของร่างกาย กลูโคสจะถูกลำเลียงจากลำไส้หรือตับไปยังเซลล์ของร่างกายโดยกระแสเลือดและจะถูกทำให้เหมาะสมสำหรับการดูดซึมของเซลล์โดยฮอร์โมนอินซูลินซึ่งถูกผลิตขึ้นที่ตับอ่อน
ค่านี้จะมีความผันผวนตลอดทั้งวัน ระดับกลูโคสจะมีระดับต่ำมากในช่วงเช้า ก่อนการรับประทานอาหารมื้อแรก (เรียกว่า "the fasting level") และจะเพิ่มขึ้นหลังจากรับประทานอาหาร

จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นเบาหวาน

อาการกระหายน้ำบ่อย ปัสสาวะมากและบ่อย อ่อนเพลีย น้ำหนักลด กินเก่งขึ้น ตาพร่ามัว เป็นอาการที่เกิดจากน้ำตาลในเลือดสูง ถ้าสูงมากๆ อาจถึงกับซึมหรือหมดสติได้ ผู้ป่วยเบาหวานที่น้ำตาลในเลือดไม่สูงมาก อาจไม่แสดงอาการเลยก็ได้ ฉะนั้นการตรวจสุขภาพจึงมีความสำคัญ โดยเฉพาะในผู้ที่มีความเสี่ยงสูงเช่น คนอ้วน หญิงมีครรภ์ ผู้หญิงที่คลอดบุตรมีน้ำหนักแรกคลอดเกิน 4 กิโลกรัม และผู้มีญาติพี่น้อง (โดยสายเลือด) เป็นเบาหวาน คนปกติจะมีน้ำตาลในเลือด อยู่ในช่วง 70 - 115 มิลลิกรัม ต่อ เดซิลิตร น้ำตาลในเลือดต้องสูงเกิน 180 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร จึงจะออกมาในปัสสาวะให้ตรวจพบได้ ดังนั้นการตรวจปัสสาวะอย่างเดียว เพื่อหาเบาหวานจึงไม่เพียงพอ ต้องใช้การตรวจเลือดดูระดับน้ำตาล

 การตรวจระดับน้ำตาลในเลือด (Fasting Blood Sugar) ( 70 - 99 ) พ่อได้ 77 ปกติ

หมอบอกว่า สรุป ร่างกายแข็งแรง ไต ตับ ทำงานปกติ ไขมันปกติ 
พ่อและแม่ควรดื่มน้ำให้ได้วันละ 4 ลิตร ถ้าไม่กินให้ได้ จะเหนื่อยง่าย ไม่สดชื่น ผิวแห้ง เรียนรู้ชา ขี้ลืม  เน้นให้กินผัก ผลไม้ให้เยอะ 
ในตัวพ่อ ให้ระวังภูมิแพ้ และสารโลหะหนัก ( พ่อบอกเคยเกิดอุบัติเหตุทางรถมอเตอร์ไซค์ทำให้ต้องใส่ฟันปลอม 2 ซีก ( มั้ง พ่อไม่ยอมบอกแม่ กลัวแม่เป็นห่วง ว่าทำไมไม่ยอมให้ดูดหลอดเดียวกัน ทั้งที่แม่ไม่รังเกียจ รักแม่มากนั้นเองตู่555  ) โลหะหนักมีผลต่อการไหลเวียนของเลือด

ในชีวิตประจำวัน คนเรามีความเสี่ยงต่อการนำโลหะหนักเข้าสู่ร่างกายผ่านทางการบริโภคอาหาร หรือดื่มน้ำที่มีสารเหล่านี้ปนเปื้อนอยู่ในชีวิตประจำวัน คนเรามีความเสี่ยงต่อการนำโลหะหนักเข้าสู่ร่างกายผ่านทางการบริโภคอาหาร หรือดื่มน้ำที่มีสารเหล่านี้ปนเปื้อนอยู่ในชีวิตประจำวัน คนเรามีความเสี่ยงต่อการนำโลหะหนักเข้าสู่ร่างกายผ่านทางการบริโภคอาหาร หรือดื่มน้ำที่มีสารเหล่านี้ปนเปื้อนอยู่
 โลหะหนักจะเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ผ่านทางอาหาร,น้ำ,อากาศ หรือผ่านทางการดูดซับทางผิวหนัง
รายการโลหะหนักที่เป็นอันตราย
Arsenic
อาเซนิกเป็นโลหะที่มี ความเป็นพิษเฉียบพลันจากโลหะหนักในผู้ใหญ่ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากอาเซนิก อาเซนิกจะถูกปล่อยสู่สิ่งแวดล้อมได้จากกระบวนการถลุงแร่จำพวกทองแดง สังกะสี และตะกั่ว กระบวนการผลิตสารเคมีและแก้ว รวมถึงกระบวนการผลิตยาฆ่าแมลง นอกจากนี้ยังพบในแหล่งอื่นๆ อีก เช่น สี ยาเบื่อหนู ยาฆ่าเชื้อรา โดยอวัยวะเป้าหมายที่อาเซนิกเข้าไปทำปฏิกิริยาคือ ในเลือด ไต ระบบประสาทส่วนกลาง และระบบย่อยอาหาร

Lead
ตะกั่ว  การได้รับตะกั่วในปริมาณหนึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดความเป็นพิษเฉียบพลันจากโลหะหนักในเด็ก ตะกั่วมักถูกใช้ในท่อส่งน้ำ ท่อระบายน้ำ และอุปกรณ์ทางทหาร ในทุกๆปีมีการใช้ตะกั่วในกระบวนการผลิตต่างๆประมาณ 2.5 ล้านตันทั่วโลก ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ในแบตเตอรี่ การหุ้มสายเคเบิล และกระสุน นอกจากนี้ยังพบในเม็ดสี พลาสติกพีวีซี ดินสอ และยาฆ่าแมลง โดยอวัยวะเป้าหมายหลักที่ตะกั่วเข้าไปทำปฏิกิริยาคือ กระดูก สมอง ไต และต่อมไทรอยด์

Mercury
ปรอท ที่พบในสิ่งแวดล้อมเกิดจากการปล่อยก๊าซจากภูเขาไฟระเบิด ซึ่งอยู่ใน 3 รูปแบบ คือ ธาตุปรอท สารอินทรีย์ปรอท และสารอนินทรีย์ปรอท อุตสาหกรรมที่ใช้ปรอทในการผลิตได้แก่ การทำเหมืองแร่ การผลิตกระดาษ ปรอทที่อยู่ในอากาศสามารถแพร่กระจายไปได้ทั่วโลกโดยกระแสลม และกลับสู่ผิวโลกในรูปฝน รวมทั้งสะสมในแต่ละลำดับชั้นของห่วงโซ่อาหาร ปรอทถูกยกเลิกใช้เป็นส่วนประกอบของสีและยาฆ่าแมลงมาตั้งแต่ปี 1990 แต่ยังคงใช้ในเทอร์โมมิเตอร์ เทอร์โมสแตทส และวัสดุอุดฟัน โดยอวัยวะเป้าหมายหลักที่ปรอทเข้าไปทำปฏิกิริยาคือ สมองและไต

Cadmium
แคดเมียม  แคดเมียมเป็นผลิตภัณฑ์ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการทำเหมืองแร่และถลุงแร่ตะกั่วและสังกะสี แคดเมียมมักถูกใช้ในแบตเตอรี่นิกเกิล ตะกั่ว พลาสติกพีวีซี และเม็ดสี และสามารถพบแคดเมียมในดินเนื่องจากการใช้ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าเชื้อรา และปุ๋ย แคดเมียมถูกดูดซับ 15 – 50% ในระบบทางเดินหายใจ และถูกดูดซับในลำไส้ประมาณ 2 – 7% โดยอวัยวะเป้าหมายหลักที่แคดเมียมเข้าไปทำปฏิกิริยาคือ ตับ ไต สมอง ปอด และกระดูก

Iron
ความเป็นพิษของธาตุเหล็กที่เกิดจากการดูดซึมธาตุเหล็กเข้าร่างกาย และการกระจายตัวของธาตุเหล็กในธรรมชาติ ในเด็กที่ทานยาบำรุงเลือดที่มีธาตุเหล็ก หรือวิตามินรวมต่างๆที่ผสมอยู่ในลูกอมอาจได้รับธาตุเหล็กในปริมาณมากจนเป็นอันตราย นอกจากนี้ยังพบเหล็กในน้ำดิบ ท่อเหล็ก และอุปกรณ์เครื่องครัว โดยอวัยวะเป้าหมายหลักที่เหล็กเข้าไปทำปฏิกิริยาคือ ตับ ไต และระบบหัวใจและหลอดเลือด

Aluminum
อลูมินัมไม่จัดเป็นโลหะหนักแต่เป็นธาตุที่มีบนผิวโลกมากเป็นอันดับ 3 อลูมินัมเป็นธาตุที่หาได้ง่ายและถูกใช้เป็นสารปรุงแต่งอาหาร ยาแก้ท้องเฟ้อ สเปรย์พ่นจมูก สามารถพบอลูมินัมได้ในท่อไอเสียรถยนต์ ควันบุหรี่ กระป๋องน้ำอัดลม อลูมินัมฟอล์ย เซรามิกส์ ดอกไม้ไฟ ภาชนะปรุงอาหาร ผลการศึกษาเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้วระบุว่า อลูมินัมอาจเป็นสาเหตุในการเกิดโรค Alzheimer เนื่องจากมีการตรวจพบอลูมินัมในเนื้อเยื่อสมองของคนไข้ที่เป็นโรค Alzheimer แต่ภายหลังมีข้อขัดแย้งเนื่องจากมีหลักฐานระบุถึงการตรวจพบอลูมินัมในเนื้อเยื่อสมองคนที่ไม่เป็นโรคเช่นกัน ซึ่งการศึกษาถึงความสัมพันธ์ระหว่างอลูมินัมและโรค Alzheimer ยังคงดำเนินต่อไป โดยอวัยวะเป้าหมายหลักที่อลูมินัมเข้าไปทำปฏิกิริยาคือ ไต ระบบประสาทส่วนกลาง และระบบย่อยอาหาร 

ที่มา : Medical Management Guidelines for Acute chemical Exposures in Vol.3 of the Managing Hazardous
       Material Incidents Series
ผลของความเป็นพิษของโลหะหนักในสิ่งมีชีวิตเกิดจากกลไกระดับเซล 5 แบบคือ 
1. ทำให้เซลตาย 
2. เปลี่ยนแปลงโครงสร้างและการทำงานของเซล 
3. เป็นตัวการชักนำให้เกิดมะเร็ง 
4. เป็นตัวการทำให้เกิดความผิดปกติทางพันธุกรรม 
5. ทำความเสียหายต่อโครโมโซม ซึ่งเป็นปัจจัยทางพันธุกรรม 
ผลเสียของสารตะกั่วต่อสุขภาพ
สารตะกั่วเป็นพิษจะพบได้บ่อยที่สุดในบรรดาโรคที่เกิดจากสิ่งแวดล้อมมักจะเกิดในเด็กอายุตั้งแต่ 6 เดือน-6 ปีโดยมากมักเกิดในเด็กที่พ่อแม่มีฐานะไม่ดีโดยได้สารนี้จากเศษสีที่หล่น หรือจากอากาศ น้ำ หรืออาหาร อาการเป็นพิษจะเกิดเมื่อมีการสะสมของตะกั่วในร่างกายสูงพอ
  • สารตะกั่วจะมีผลเสียต่อสมองและการติดต่อของเซลล์ประสาท โดยสารตะกั่วจะไปจับกับเซลล์แทนที่แคลเซียม พบว่าหากมีสารตะกั่วในเลือดเพิ่มขึ้นทุก 10 mcg/dLจะทำให้ IQ ลดลง 1-3 จุด
  • ผลต่อเม็ดเลือดแดงจะทำให้เม็ดเลือดแดงแตกง่ายเป็นโรคโลหิตจาง และมีผลต่อการทำงานของไต
  • ผลต่อการตั้งครรภ์และทารก สารตะกั่วสามารถก่อปัญหาให้แก่ทารกในครรภ์หากมีสารตะกั่วเป็นปริมาณมากอาจจะทำให้เกิดแท้ง คลอดก่อนกำหนด เด็กที่เกิดมาจะมีน้ำหนักตัวน้อยกว่าปกติ การทำงานของสมองจะพัฒนาช้า ปัญญาอ่อน ชัก
ล้างพิษโลหะหนักเพื่อสุขภาพ


      สืบเนื่องจากวิถีการใช้ชีวิตของคนส่วนใหญ่ในปัจจุบันต้องทำงานแข่งขันกับเวลา เผชิญกับความเครียดในชีวิตในหลายรูปแบบทั้งงาน ครอบครัว และเศรษฐกิจ รวมถึงมลภาวะเป็นพิษที่ส่งผลต่อสุขภาพ ทั้งอากาศ อาหาร ซึ่งล้วนส่งผลร้ายต่อสุขภาพทุกวัน 
      การดูแลสุขภาพร่างกายในเชิงป้องกันไว้ดีกว่าแก้ (ไข) หากปล่อยเจ็บป่วยก่อนค่อยมารักษา แพทย์ทางเลือกถือว่าช้าเกินไป เพราะกว่าที่ร่างกายจะเจ็บป่วยจนแสดงผลปรากฏชัดนั้นต้องสะสมความเจ็บไข้ไว้เป็นแรมปี ดังนั้น หากเราสามารถป้องกันด้วยการดูแลรักษาสุขภาพ ทั้งอาหาร อากาศ อารมณ์ ออกกำลังกาย จะเป็นเรื่องที่ดีในระยะยาว และไม่ต้องเสียงบประมาณในการรักษาที่แพงๆ อีกด้วย เพราะการที่จะอยู่อย่างไรให้ชีวิตยืนยาวและแข็งแรงนั้น หากเราดูแลดี ให้เวลาดี ใช้เวลาบ่มเพาะร่างกายเป็นอย่างดี ก็สามารถมีสุขภาพที่ดีได้ไม่ยากเกินไป

   สารพิษรายรอบตัว  

     ศ.ดร.นพ.สมศักดิ์ วรคามิน อดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุข และในฐานะประธานกรรมการ บริษัท คิวเมดิคัล เซ็นเตอร์ และผู้บริหารศูนย์สุขภาพรีจู อโศก กล่าวว่า ปกติร่างกายจะได้รับสารพิษไม่ว่าจะจากฝุ่นละออง ไอระเหย หรือก๊าซ รวมทั้งกลิ่นเขม่า ควัน สารกัมมันตรังสี สารประกอบไฮโดรคาร์บอน ปรอท ตะกั่ว ออกไซด์ของไนไตรเจน และคาร์บอน เป็นต้น

     ทางอาหารมีสารแปลกปลอมเจือปน เช่น พิษจากยาฆ่าแมลงตกค้าง สารปรุงแต่งสี สีสังเคราะห์ทุกชนิด สารกันบูด ตลอดจนการรับประทานอาหารไม่ถูกสัดส่วน การรับประทานแต่เนื้อสัตว์มากเกินไป อาหารว่างที่เต็มไปด้วยของทอดที่อุดมไปด้วยไขมัน รับประทานผักสดและผลไม้น้อย ทำให้ได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน อีกทั้งไม่ออกกำลังกาย การพักผ่อนไม่เพียงพอ ส่งผลเสียต่อสุขภาพ และชักนำให้เป็นโรคต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง หัวใจ เบาหวาน ความดัน โรคอ้วน โรคที่เกี่ยวข้องกับทางเดินหายใจ เช่น โรคปอด ไซนัส หวัด และภูมิแพ้

     “มีรายงานว่าคนไทยมีปัญหาเรื่องสุขภาพกันมากขึ้น ผู้ชายพออายุเริ่ม 30 ปี ก็มักจะประสบปัญหาไขมันในเส้นเลือดหรือโรคเกี่ยวกับตับ ส่วนผู้หญิงก็จะมีปัญหาเกี่ยวกับไทรอยด์ ข้อ หรือโรคเบาหวาน นั่นเพราะสารพิษหรือสารเคมีที่ร่างกายได้รับ ฉะนั้นการจะดูแลสุขภาพให้ดีจะต้องมีไลฟ์สไตล์ที่ดีและเหมาะสม”

     หากมีวินัยในการดำเนินชีวิตประจำวันอย่างเป็นระบบ จะช่วยทำให้มีสุขภาพดี ชีวิตยืนยาว และแข็งแรงต่อไป เนื่องจากปัจจุบันคนเรามักจะใช้ชีวิตผิดกฎธรรมชาติ ชอบกินอาหารปิ้งย่าง ซึ่งถือว่าผิดธรรมชาติ เพราะความร้อน 118 องศาฟาเรนไฮต์ จะไปทำลายเอนไซม์ที่ช่วยย่อยในร่างกายและไม่ควรกินสัตว์ใหญ่ เพราะร่างกายกำหนดให้มนุษย์ควรกินสัตว์เล็ก เช่น ปลา หรือผักสด จะช่วยย่อยได้เป็นอย่างดี กินผลไม้ เช่น กล้วย มีแมกนีเซียม ส้ม ฝรั่ง มีวิตามินซีสูง ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมาก นั่นเป็นปัจจัยพื้นฐานในการดูแลตัวเอง 
     แต่สำหรับในวงการแพทย์ทางเลือกยังมีอีกหลายวิธีการในการดูแลป้องกันตัวเองอย่างครบวงจร เช่น การล้างพิษและสารโลหะหนักในร่างกายโดยผ่านเส้นเลือด โดยการใช้กรดอะมิโน (สารอีดีทีเอ) ผสมกับแร่ธาตุและน้ำเกลือ เพื่อรักษาการเกิดการอักเสบหรือการทำงานผิดปกติของเซลล์ในผนังของหลอดเลือด โดยสารอีดีทีเอจะไปจับกับสารที่เป็นพวกโลหะหนักที่เป็นพิษ เช่น ตะกั่ว แคดเมียม ปรอท และสารแร่ธาตุที่ใช้ในร่างกายซึ่งมาจับผิดที่ในเซลล์หลอดเลือด เช่น เหล็ก ทองแดง การสะสมของโลหะหนักบนเซลล์บุภายในของผนังหลอดเลือด จะเหนี่ยวนำให้เกิดอนุมูลอิสระบนผนังเซลล์ คอเลสเตอรอลจึงมาจับบนผนังหลอดเลือด ทำให้รูหลอดเลือดตีบลง เมื่อทำการล้างพิษโลหะหนักสารอีดีทีเอจะไปจับกับตัวสารและละลายออกทางไต การจับตัวของคอเลสเตอรอลจะค่อยๆ ถูกร่างกายกำจัดให้ลดลง ผนังเซลล์หลอดเลือดก็จะดีขึ้น การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น เส้นเลือดไม่ตีบตัน

     รศ.ดร.นพ.กำพล ศรีวัฒนกุล ได้นำทฤษฎีนี้มาจากสถาบัน American College For Advancement in Medicine (ACAM) มาใช้ ซึ่งเหมาะกับผู้รักสุขภาพโดยทั่วไป โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่เสี่ยงโรคหัวใจ โรคอ้วน เบาหวาน ความดันเลือดผิดปกติ ความจำเสื่อม ซึ่งเกิดจากหลอดเลือดอุดตัน

      “จากสถิติขององค์การอนามัยโลก พบว่าสาเหตุของการตายของคนเรานั้น อันดับ 1 มาจากโรคมะเร็ง รองลงมาคือโรคหัวใจและหลอดเลือด การป้องกันและส่งเสริมให้มีสุขภาพที่ดี ต้องเริ่มจากตัวเราเอง เพราะเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงบรรดามลภาวะต่างๆ ได้ทั้งหมด แต่เราสามารถจะทำในส่วนที่จะช่วยลดผลกระทบที่เสียหายต่อร่างกายเราได้ โดยรู้จักเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ ไม่กินอาหารสำเร็จรูปมากไป ได้ออกกำลังกาย ไม่เครียด นั่งสมาธิฝึกจิตใจ นอนให้เพียงพอ ดูแลตัวเองตามแนวแพทย์ทางเลือก หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ น้ำอัดลม บุหรี่ ไม่อยู่ในย่านโรงงานอุตสาหกรรมหนัก หรือที่ที่มีมลพิษทางอากาศสูง ถ้าเลี่ยงได้ก็จะมีร่างกายที่แข็งแรง นอกจากนี้อย่าใช้ชีวิตที่เสี่ยงกับสารปนเปื้อนและสารเคมีมากเกินไป เช่น ใช้สเปรย์ใส่ผมตลอดเวลา ทำสีผมหรือย้อมผมบ่อยๆ ทาเล็บเป็นประจำ” 
     แต่การล้างพิษเพื่อจับสารตะกั่วหนักนั้นมีข้อยกเว้น โดยผู้ที่ไม่เหมาะกับการล้างพิษดังกล่าว คือผู้ที่เคยมีประวัติโรคไตหรือไตวาย ส่วนผลกระทบข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นสำหรับการทำครั้งแรกก็คือบางรายอาจมีอาการอ่อนเพลียเล็กน้อยในช่วงแรก เพราะสารพิษและโลหะหนักจะขับออกมาทางปัสสาวะ ซึ่งความถี่ในการทำนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล จำนวนครั้งจึงไม่เท่ากัน แล้วแต่ปัญหาว่ามีมากน้อยเพียงใด แต่โดยปกติจะอยู่ประมาณ 10-15 ครั้ง โดยทำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง หรือเดือนละ 2 ครั้ง หลังจากนั้นให้ทำทุกๆ 2 ปี

      ทางด้านพญ.นันทภัทร์ สุภาพรรณชาติ ผู้บริหารเอเพ็กซ์ บิวตี้คลินิก กล่าวว่า โลกปัจจุบันทำให้คนมีอายุยืนยาวขึ้น แต่เมื่อมีอายุยืนก็ต้องอยู่อย่างมีคุณภาพ คือทำอย่างไรให้สุขภาพดีไม่เต็มไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บ เพราะอาหาร อากาศ วิถีชีวิต เต็มไปด้วยมลพิษและสารเคมีที่อยู่รอบๆ ตัวเรา ดังนั้น การแพทย์ทางเลือกเริ่มมีวิธีใหม่ๆในการช่วยชะลอวัยและป้องกันความเสื่อม ด้วยวิธีที่หลากหลายขึ้น การล้างพิษเพื่อจับโลหะหนักออกจากร่างกายเป็นทางเลือกหนึ่ง เพื่อปรับระบบในร่างกาย เพิ่มออกซิเจนให้มากขึ้น ระบบไหลเวียนเลือด การย่อย ระบบการซ่อมแซมในร่างกายก็ดีขึ้น ซึ่งจะต้องทำทุกสัปดาห์ต่อเนื่องอย่างน้อย 10 ครั้ง อาจจะต้องใช้งบประมาณในการล้างพิษและต้องไปทำที่คลินิก

     คุณหมอกล่าวเพิ่มเติมว่า การล้างพิษเพื่อจับสารโลหะหนักนั้น ดีสำหรับผู้ที่เสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน ความดัน หลอดเลือดตีบ ผลพลอยได้จะทำให้รู้สึกสดชื่น ความจำดีขึ้น และน้ำหนักจะลดลงเล็กน้อย แต่มีข้อควรระวังสำหรับผู้เป็นโรคไต เพราะสารพิษจะขับออกทางไต ถ้าไตไม่ดีอาจจะมีปัญหาได้

   ใครที่เหมาะกับการล้างพิษจับโลหะหนัก  

   1.ผู้ที่มีปัญหาเรื่องระบบไหลเวียนของโลหิต เช่น ร่างกายอ่อนเพลีย เวียนศีรษะบ่อย
   2.ผู้มีปัญหาความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง
   3.ผู้มีปัญหาเรื่องระบบหลอดเลือดหัวใจ หลอดเลือดแข็ง โรคหัวใจ และโรคเบาหวาน
   4.ผู้ที่มีโอกาสสัมผัสโลหะหนัก เช่น อุดฟันด้วยโลหะอะมัลกัม มลพิษทางอากาศ กินอาหารทะเลที่มีสารตะกั่วปนเปื้อน
   5.บุคคลทั่วไปที่ต้องการป้องกันโรคภัยไข้เจ็บและต้องการขจัดสารพิษออกจากร่างกาย

   เคล็ดลับเพื่อสุขภาพดี 

     คุณหมอยังได้แนะเคล็ดลับการมีสุขภาพดีด้วย 6 อ. มาฝากก็คือ

   1. อาหาร ควรกินอาหารประเภทไขมันต่ำและไม่เค็ม อาหารที่มีกรดไขมันอิ่มตัว จะมีประโยชน์ต่อหลอดเลือด และควรกินวิตามินเสริมตามความเหมาะสม เพื่อจะได้แร่ธาตุครบตามที่ร่างกายต้องการ

   2. อากาศ ควรอยู่ในที่อากาศบริสุทธิ์ สร้างภูมิทัศน์ในบ้านหรือที่ทำงานให้มีพื้นที่สีเขียวมากขึ้น

   3. อารมณ์ ต้องหมั่นคิดบวก ถ้าอารมณ์ร้ายบ่อยๆ อายุจะยิ่งสั้น ฝึกจิตใจให้เป็นคนใจเย็นไม่คิดมาก

   4. เอนหลัง คนเราต้องนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

   5. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที หรือยืดเส้นยืดสายทุกๆ วัน วันละ 10-15 นาที

   6. อุจจาระ ฝึกขับถ่ายให้เป็นเวลา ควรมีการขับถ่ายของเสียทุกวัน อย่าให้ท้องผูกนานเกิน 3 วัน



ที่มา .. โพสต์ทูเดย์

กระบวนการล้างพิษโดยการดึงโลหะหนักออกจากร่างกายนั้น สามารถใช้ป้องกันโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดตีบและความดันโลหิต อัมพฤกษ์ อัมพาต เบาหวาน เป็นต้น
โลหะหนัก เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว จะไปเกาะอยู่ในหลอดเลือดทำให้เกิดความระคายเคืองที่หลอดเลือด ร่างกายจึงต้องสร้างหาวิธีการปกป้องตนเองโดยดึงเอาสารมาเคลือบ ซึ่งก็คือ ไขมัน คอเลสเตอรอล ทำให้เส้นเลือดนุ่มขึ้น เป็นผลให้ขนาดของรูในเส้นเลือดเกิดการอุดตันขึ้น 
คีเลชั่น (Chelation)

... ล้างพิษด้วย Chelation Therapy

ทำไมจึงต้องล้างสารพิษ การทำคีเลชั่น มีผลดีอย่างไร อันตรายหรือไม่ ใครบ้างควรทำคีเลชั่น พบคำตอบได้ที่นี่ค่ะ
คีเลชั่น (Chelation)
คีเลชั่น คือ การให้สารน้ำทางหลอดเลือด (ให้น้ำเกลือ) ที่มีสารประกอบประเภทกรดอะมิโน ที่เรียกว่า EDTA ผสมกับวิตามินและแร่ธาตุ ซึ่ง EDTA ทำหน้าที่สำคัญ ในการจับสารโลหะหนักเช่น ตะกั่ว ปรอท สารหนู หรือ แม้แต่แคลเซี่ยมส่วนเกิน ซึ่งสะสมตกค้างในเนื้อเยื่อ และพอกอยู่ ตามผนังหลอดเลือดของเรา เพื่อขจัดออก จากระบบปัสสาวะ
ระยะเวลาในการให้น้ำเกลือแต่ละครั้ง ประมาณ 2.5-3 ชั่วโมง ระหว่างที่ให้น้ำเกลือสามารถ พักผ่อน ดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือหรือฟังเพลงได้ตาม ปกติธรรมดา ภายหลังจากการเสร็จการรักษาสามารถ ประกอบกิจกรรมได้ตามปกติไม่จำเป็นต้องนอนพัก
ประโยชน์ที่ได้รับ
- ขจัดสารพิษตกข้างในร่างกายและระบบหลอดเลือด
- ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง

- ทำให้ระบบการไหลเวียนโลหิตดีขึ้น
- ลดอัตราเสี่ยงของหลอดเลือดแข็งอุดตันและตีบแคบซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจขาดเลือด
- ป้องกันโรคความเสื่อมต่างๆที่เกิดขึ้นจากระบบหมุนเวียนที่ไม่ดี
ล้างพิษด้วย Chelation Therapy ดีอย่างไร ?
โลกที่เต็มไปด้วยมลพิษ ทั้ง น้ำ และอากาศ ดิน อาหาร ทุกอย่างล้วนมี โอกาสที่จะปนเปื้อนสารพิษ โลหะหนักได้ สารพิษโลหะหนักพบได้ในวัสดุก่อสร้าง เครื่องสำอาง ยารักษาโรค อาหารที่ผ่านกระบวนการ ต่าง ๆ แหล่งเชื้อเพลิงผลิตภัณฑ์สำหรับดูแลสุขภาพ สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ รวมถึงมนุษย์ ก่อให้เกิดความผิดปกติ ในการแบ่งตัวของเซลล์ทำให้ความสามารถในการนำสารอาหารไปหล่อเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายน้อยลง ส่งผลให้เกิดความเสื่อมสภาพของอวัยวะในร่างกายอย่างต่อเนื่อง
คีเลชั่นเหมาะกับใคร
- ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการอุดตันของหลอดเลือด เช่น อุดฟันด้วยโลหะ อมัลกัม มีไขมันในเส้นเลือดสูง มี oxidative stress (ระดับอนุมูลอิสระสูง) เช่น ดื่มชา กาแฟ แอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ หรือคนในบ้านในที่ทำงานสูบ ฯลฯ
- ผู้ที่มีปัญหาพิษโลหะสะสมและปัญหาสารพิษอื่นๆ สะสมในร่างกาย
- ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ การไหลเวียนเลือดบกพร่อง มีอาการ เช่น เวียนหัวง่าย ฯลฯ
- ผู้ที่มีปัญหาโรคความดันโลหิตสูง เนื่องจากหลอดเลือดไม่ยืดหยุ่น
- ผู้ที่แข็งแรงดี แต่ต้องการป้องกันตนเองจากโรคมะเร็งและโรคเส้นเลือด ตีบตัน รวมทั้งต้องการกำจัดสารพิษและโลหะหนักออกจากตัวและ ต้องการรักษาสภาพของเส้นเลือดทั่วตัว ไม่ให้เกิดการอุดตันในอนาคต
- ผู้ที่ไปทำบอลลูนเส้นเลือด,ใส่ขดลวด,ทำบายพาส มาแล้ว เพราะจะเกิดการอุดตันใหม่เร็ว ๆ นี้ การทำคีเลชั่น จะลดปัญหาเหล่านั้นได้
ข้อควรทราบเมื่อต้องการทำ คีเลชั่น
- ควรตรวจร่างกายเพื่อประเมินปัญหาที่เป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การตรวจประสิทธิภาพการทำงานของไต ก่อนเข้ารับบริการ
- ระหว่างการรักษา ควรพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากขึ้น แนะนำให้ดื่มน้ำผลไม้ เพราะระหว่างการทำอาจ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ มีวิตามิน แร่ธาตุ พอเพียงต่อการเสริมสร้างและซ่อมแซมร่างกาย
ผลข้างเคียงจากการทำคีเลชั่น
ระยะแรกบางท่านอาจมีอาการอ่อนเพลีย อันเนื่องจากกระบวนการขับสารพิษออกจากร่างกาย อาการที่เกิดขึ้น แก้ได้โดยการพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำผลไม้และรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางอาหารครบถ้วนตามความ ต้องการของร่างกาย
สำหรับขั้นตอนการบำบัดรักษาประกอบด้วยคีเลชั่น (Chelation)
- พบแพทย์เพื่อซักถามประวัติและตรวจร่างกาย อย่างละเอียด โดยจะมีการคำนวณปริมาณยาที่เหมาะสมเป็น รายบุคคล
- ทำการตรวจ LAB พื้นฐานเพื่อหาปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ
- ทำการตรวจวิเคราะห์ผลเลือด (Live Blood Analysis) ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญมากสามารถบงบอก ภาวะของเลือด
- ในขณะที่เซลล์ยังมีชีวิตซึ่งสามารถประเมินภาวะของร่างกายได้หลากหลายครอบคลุมในหลายๆ โรค
- ทำการบำบัดด้วย คีเลชั่นบำบัดตามสูตรยาที่เหมาะสม แก่ผู้เข้ารับการบำบัดแต่ละราย
- นัดติดตามผลเป็นระยะ ซึ่งระยะเวลาขึ้นกับลักษณะของโรคที่เรามีปัญหาอยู่
 
ใช้เวลาทำคีเลชั่นแต่ละครั้งนานเท่าใด ?
 
การทำคีเลชั่นบำบัดในแต่ละครั้งจะใช้เวลาประมาณ 45 นาที – 1 ชม. เท่านั้น
 
ต้องพักฟื้นหรือไม่ ?

หลังการทำคีเลชั่นบำบัด คนไข้สามารถดำเนินกิจกรรมได้ตามปกติโดยไม่ต้องพักฟื้น
 
หลังทำคีเลชั่นต้องปฎิบัติตัวอย่างไรบ้าง?
คนไข้ควรยึดหลักการปฏิบัตพื้นฐาน ดังนี้
1. ทานอาหารที่มีประโยชน์ ปรุงใหม่ หลีกเลี่ยงการเจือสี กลิ่น รส ที่สังเคราะห์ขึ้น
2. ดื่มน้ำในปริมาณที่พอเหมาะ
3. พักผ่อนให้เพียงพอ
4. หลีกเลี่ยงภาวะเครียด
5. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
6. หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ และบุหรี่
ผลหลังการบำบัดด้วยคีเลชั่น จะเป็นอย่างไร ?
หลังจากการคีเลชั่นบำบัดตามโปรแกรมที่วางไว้ ร่วมกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต พบว่า ปัญหาของโรคต่างๆ ลดลงอย่างเห็นได้ชัด และ สามารถกลับมามีสุขภาพที่ดีขึ้น อย่างเห็นได้ชัด แม้อายุจริงจะเพิ่มขึ้น แต่ยังรู้สึกมีเรี่ยวแรง แจ่มใส และมีความสุข แม้ว่าเวลาจะผ่านไปก็ตาม
จะเห็นว่า การล้างพิษด้วยวิธีคีเลชั่น มีประโยชน์หลายอย่างค่ะ แต่ก็ต้องคำนึงความปลอดภัยในการทำด้วยนะคะ ดังนั้น หากคิดจะ ล้างพิษด้วยวิธีคีเลชั่น แล้วล่ะก็ ควรเข้ารับการบำบัดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญนะคะ

ราคาการทำคีเลชั่น อยู่ที่ประมาณ 3,700 บาทต่อครั้ง ส่วนจำนวนครั้งในการรักษานั้น ก็ต้องขึ้นอยู่กับการ
วินิจฉัยของแพทย์ ตามสภาวะร่างการของเรา และอาการของโรคที่เราเป็นอยู่

    จ่ายเพียง 4,250 บาท จาก 8,500 บาท สุขภาพดีด้วยขั้นตอนที่ทันสมัย ตรวจเช็คสุขภาพเต็มรูปแบบ การล้างสารพิษในร่างกาย การสวนล้างลำไส้ใหญ่ @ Villa Medica

    แพ็คเกจ เอ: Chelation Therapy + Fully Check-up (มูลค่า 8,500 บาท)
         แพ็คเกจ บี: Colon Hydrotherapy + Fully Check-up (มูลค่า 8,000 บาท)
         แพ็คเกจ ซี: Colon Hydrotherapy + Chelation Therapy (มูลค่า 6,500 บาท)


แพ็คเกจ เอ: Chelation Therapy + Fully Check-up
ล้างสารพิษในร่างกาย ให้สารโลหะหนักที่สะสมในร่างกายออกไป และเพิ่มภูมิคุ้มกันและยับยั้งสารอนุมูลอิสระ  การบำบัดวิธีนี้จะช่วยบรรเทาอาการโรคร้ายแรงอย่างมะเร็ง หอบหืด เบาหวาน โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง และยังช่วยเรื่องลดความอ้วนอีกด้วย
แพ็คเกจ บี: Colon Hydrotherapy + Fully Check-up
ล้างสารพิษตกค้างในร่างกายโดยการสวนทวารลำไส้ใหญ่ ทำความสะอาดและกำจัดของเสียออกจากลำไส้ใหญ่ สวนด้วยน้ำอุ่นที่อุณหภูมิเหมาะสม ช่วยการทำงานของลำไส้ใหญ่ให้มีประสิทธิภาพ ช่วยบรรเทาอาการโรคท้องผูก ริดสีดวง หอบหืด มะเร็ง ไมเกรน ภูมิแพ้ และอื่นๆ
แพ็คเกจ ซี: Colon Hydrotherapy + Chelation Therapy
การบำบัดรักษาโดยผสมผสานวิธีการรักษา 2 วิธี การล้างพิษและการสวนลำไส้ใหญ่ ได้ผลค่อนข้างมาก และช่วยบรรเทาอาการโรคร้ายแรงต่างๆ
หมดเขต 15 ม.ค. 55
20 ชนิด อาหารล้างพิษ ...(ไอเอ็นเอ็น)

          ปัจจุบันนี้อาหารการกิน หาซื้อหาได้ง่าย แต่คุณจะรู้ได้อย่างไรว่า สิ่งที่ทานไปแต่ละมื้อ แอบทำให้ร่างกายเราบั่นทอน แทนที่จะได้คุณประโยชน์ ฉะนั้นต้องหันมาดูแลกันให้มากขึ้น วันนี้จึงมีอาหารล้างพิษ 20 ชนิด มาแนะนำกัน

 1. กล้วย

          มีคุณสมบัติในการบำรุงและสร้างความแข็งแรงแก่กระเพาะอาหาร ในขณะเดียวกันก็ให้เกลือแร่ทีจำเป็นแก่ร่างกาย เช่น โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียมช่วยควบคุมระดับของเหลวในร่างกาย โดยช่วยขับของเหลวหรือสารพิษส่วนเกิน ออกจากร่างกายได้ดีขึ้น การกินกล้วยเป็นประจำยังช่วยป้องกันท้องผูก ทำให้ระบบ ขับถ่ายเป็นปกติอีกด้วย

 2.อัลมอนด์

          เป็นถั่วที่มีใยอาหารสูงมีแคลเซียมและโปรตีนที่ดีต่อร่างกาย แม้จะมีไขมันแต่ก็เป็นไขมันที่ดีและจำเป็นต่อร่างกาย ในระหว่างที่เราทำการล้างพิษจึงควรกินอัลมอนด์ นอกจากนี้อัลมอนด์ยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งถ้าระดับน้ำตาลในเลือดสูงก็จะเกิดอาการไฮเปอร์ไกลซีเมีย (Hyperglycemia) ทำให้รู้สึกหิวน้ำมากกว่าปกติ หายใจไม่ออก ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ และหากน้ำตาลในเลือดต่ำที่เรียกว่าไฮโปไกลซีเมีย (Hypoglycemia) จะทำให้เกิดอาการหน้ามืดเป็นลม ใจสั่น ไม่มีแรงคิดอะไรไม่ออก
แอปเปิ้ล

 3.แอปเปิ้ล

          ประกอบไปด้วยเพกตินสูง เพกตินเป็นไฟเบอร์ชนิดหนึ่งที่ช่วยจับคอเลสเตอรอล และโลหะหนักในร่างกายที่ปะปนมากับอาหาร เช่น ปรอท ตะกั่ว ซึ่งทำลายเซลล์สมอง นี่คือเหตุผลที่เราควรจะกินแอปเปิ้ลเพื่อล้างสารพิษออกจากร่างกาย นอกจากนี้ยังมีคุณประโยชน์ช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็ง ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส จากการศึกษาทดลองยังพบว่า แอปเปิ้ลช่วยขับสารเคมีที่ปนเปื้อนในอาหาร ซึ่งก่อให้เกิดอาการแพ้ในเด็ก และทำให้เกิดไมเกรนในผู้ใหญ่ได้

 4.ตำลึง

          ผักใบเขียวที่ขึ้นข้างรั้วหาง่าย และราคาไม่แพงนี้ ในสมัยก่อนเรามักนำมาทำแกงจืดตำลึงโดยใสเนื้อสัตว์น้อย ๆ แต่ปัจจุบันดูเหมือนว่า แกงจืดตำลึงจะมีตำลึงอยู่ไม่กี่ใบและมีหมูสับเต็มไปหมด ซึ่งตำลึงมีคุณสมบัติช่วยผลิตน้ำดี ที่จะทำให้ลำไส้ขับสารพิษออกจากร่างกายได้ดีขึ้น นอกจากนี้สารที่มีอยู่ในตำลึงยังช่วยให้ตับสลายไขมันในร่างกายด้วย

อะโวคาโด


 5.อะโวคาโด

          อาจยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่ปัจจุบันเราก็สามารถหาซื้ออะโวคาโดได้จากตลาดทั่วไป ในอะโวคาโดมีสารกลูตาไทโอน (Glutathione) ที่สามารถช่วยลดคอเลสเตอรอลและป้องกันหลอดเลือดอุดตัน ทำให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่น ทั้งช่วยจับสารพิษที่เป็นตัวก่อให้เกิดมะเร็งกว่า 30 ชนิด และขณะเดียวกันก็ช่วยให้ตับกำจัดของเสียจำพวกสารเคมี และโลหะหนัก ซึ่งนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน (University of Michigan) พบว่าผู้สูงอายุซึ่งกินอาหารที่มีสารกลูตาไทโอนสูงจะ มีสุขภาพดีกว่าคนที่ไม่ ได้กินและมีอัตราการเกิดโรคหัวใจน้อยกว่า 30 เปอร์เซ็นต์

 6.บีตรูต

          ผักสีแดงที่นิยมใส่ในสลัดนี้ นับเป็นผักมหัศจรรย์ซึ่งประกอบไปด้วยไพโรเคมีคอล (Phytochemical) วิตามินและเกลือแร่หลายชนิด ซึ่งทำให้บีตรูตมีคุณสมบัติต่อต้านชื้อโรค ทำความสะอาดเลือด ทำความสะอาดตับและระบบน้ำเหลือง อีกทั้งมีคุณสมบัติพิเศษ ที่ส่งเสริมให้ร่างกายรับออกซิเจนได้มากขึ้น จึงช่วยกำจัดของเสียได้ง่ายและเร็ว ขึ้นซึ่งจากกการศึกษาเมื่อไม่นานมานี้ พบว่าบีตรูตช่วยปรับระดับกรดและด่างในเลือดให้สมดุลด้วย

บรอกโคลี


 7.กะหล่ำ

          เต็มไปด้วยสารต่อต้านมะเร็งและอนุมูลอิสระ (Antioxidant) และช่วยตับขับฮอร์โมนที่มากเกินไป ซึ่งอาจเป็นฮอร์โมนความเครียดที่มีผลเสียต่อร่างกาย ทั้งยังช่วยทำความสะอาดระบบย่อยอาหาร รักษาและปกป้องกระเพาะอาหารจากแบคทีเรียและไวรัสต่าง ๆ พืชตระกูลกะหล่ำ ได้แก่ กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บรอกโคลีและกะหล่ำปม ผักเหล่านี้ช่วยทำความสะอาดร่างกาย และช่วยกำจัดของเสียจากสิ่งแวดล้อม เช่น ของเสียจากควันบุหรี่ควันจากท่อไอเสีย และช่วยให้ตับผลิตเอนไซม์ออกมาให้เพียงพอในการกำจัดของเสีย

 8.บลูเบอร์รี่

          เป็นผลไม้ที่มีค่าแอนติออกซิแดนต์สูงมากชนิดหนึ่ง และถือเป็นหนึ่งในสุดยอดอาหารรักษาโรค เนื่องจากในบลูเบอร์รี่มีสารแอสไพรินตามธรรมชาติ ซึ่งช่วยลดการระคายเคือง สารที่มีในบลูเบอร์รี่สามารถเข้าไปขัดขวางแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะ ส่งผลให้ลดการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ




 9.กระเทียม

          จากหลายการศึกษาให้ผลตรงกัน ถึงคุณสมบัติของกระเทียมในการทำความสะอาดร่างกาย นั่นคือ การกินกระเทียมเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียขับและฆ่าพยาธิในทางเดินอาหาร และฆ่าเชื้อไวรัส โดยเฉพาะทำความสะอาดเลือด และทำให้เส้นเลือดมีความยืดหยุ่นและลดแรงดันโลหิตนอกจากนี้ยังต่อต้านการเกิดมะเร็งและทำให้ระบบทางเดินหายใจดีขึ้น แต่ก็ควรระวังเรื่องการกินกระเทียมมากเกินไป ซึ่งก่อให้เกิดลมหายใจที่มีกลิ่นกระเทียมไปด้วย

เกรปฟรุต

 10. ส้มโอ หรือเกรปฟรุต

          เป็นผลไม้รสชาติดีที่ได้รับความนิยมในอาหารมื้อเช้าของชาวตะวันตก สารเพกตินซึ่งเป็นไฟเบอร์ประเภทหนึ่งในเกรปฟรุต สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ก่อนที่จะจับตัวเป็นก้อนและขวางทางเดินในหลอดเลือด นอกจากนี้เพกตินยังสามารถช่วยป้องกัน ไม่ให้โลหะหนักเหล่านี้ทำอันตรายต่อร่างกาย ส่วนเกรปฟรุตช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งตับอ่อน สารต้านอนุมูลอิสระในเกรปฟรุต ช่วยปกป้องสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย

 11.มะเขือพวง

          คนไทยนิยมใส่มะเขือพวงในอาหารประเภทผัดเผ็ด แกงป่า แกงกะทิและน้ำพริกสมัยก่อนแกงกะทิ เช่น แกงไก่ใส่มะเขือพวง ใส่ไก่น้อย เน้นการกินมะเขือเป็นหลัก แต่ปัจจุบันกลับตรงกันข้าม แกงไก่มักใส่ไก่มากกว่ามะเขือ และคนก็เลือกกินแต่ไก่ จึงเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้คนในปัจจุบันมีรูปร่างอ้วนกว่าคนสมัยก่อน มะเขือพวงเป็นผักที่เต็มไปด้วยไฟเบอร์ ซึ่งสามารถช่วยดูดซึมไขมันในอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วยจับไขมันอิ่มตัว (ไขมันอันตราย) และขับออกจากร่างกายโดยระบบขับถ่าย ทั้งยังมีวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระสูง จึงช่วยกำจัดของเสียออกจากระบบทางเดินอาหารได้เร็วขึ้น และลดการสะสมของเสีย

 12.แครอท

          เต็มไปด้วยสารอัลฟาและเบตาแคโรทีน (Alpha and Beta-carotene) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิตามินเอ และถือว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีเยี่ยม ช่วยปกป้องร่างกายจากสารพิษในสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะช่วยระบบทางเดินประสาทสายตา ผิวหนังที่ต้องสัมผัสแสงแดเป็นประจำ และจากการวิจัยพบว่า สารในแครอทช่วยลดการเกิดมะเร็ง และช่วยทำให้ระบบทางเดินหายใจและหัวใจแข็งแรงขึ้น

ขึ้นฉ่าย


 13.ขึ้นฉ่าย

          ถือได้ว่าเป็นสุดยอดอาหารในการทำความสะอาดเลือด และช่วยลดความดันโลหิต สำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูงควรกินขึ้นฉ่ายเป็นประจำ หรือถ้าจะให้ดีควรดื่มน้ำคั้นจากขึ้นฉ่ายสดในตอนเช้า เพื่อช่วยควบคุมระดับแรงดันเลือดให้คงที่ ในขึ้นฉ่าย ยังประกอบไปด้วยสารต้านการเกิดมะเร็ง และสารที่ช่วยขับของเสียจากบุหรี่ในคนที่สูบบุหรี่ หรือผู้ที่ได้รับควันบุหรี่ด้วย

 14.พืชตระกูลถั่ว

          เช่น ถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง และถั่วขาว จากการศึกษาพบว่า ผู้ที่กินถั่วเป็นประจำมีระดับคอเลสเตอรอลน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้กิน และลดอัตราความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจด้วย พืชตระกูลถั่วนี้ประกอบด้วยไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลทำความสะอาดลำไส้ ลดการสะสมของสารพิษในลำไส้ และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ อีกทั้งช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ และมะเร็งต่อมลูกหมากด้วย

 15.ทับทิม

          ตำราแพทย์แผนโบราณของชาวเอเชียกล่าวไว้ว่า การดื่มน้ำทับทิมสามารถรักษาอาการอักเสบและลดความปวดได้ เนื่องจากในทับทิมมีสารแอสไพริน ซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกันกับแอสไพรินในยาแก้ปวด ช่วยล้างพิษ ลดการติดเชื้อของเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย และลดอาการอักเสบสำหรับผู้ที่มีอาการไขข้ออักเสบปวดบวม ช้ำ แนะนำให้กินทับทิม เพราะช่วยลดอาการปวดลงได้ ขณะเดียวกันยังมีไฟเบอร์สูงซึ่ง ช่วยให้ขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายได้ดีขึ้น



 16.กระเจี๊ยบ

          น้ำกระเจี๊ยบมีคุณสมบัติช่วยทำความสะอาดแบคทีเรีย และไวรัสออกจากระบบทางเดินปัสสาวะ ซึ่งมักก่อให้เกิดการติดเชื้อทำให้มีอาการปัสสาวะไม่ออก หรือมีเลือดปน หรือมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง ซึ่งสารในกระเจี๊ยบสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัสเหล่านั้นได้

 17.เมล็ดแฟลกซ์

          ประกอบไปด้วยกรดไขมันที่จำเป็นอย่างโอเมกา 3 ซึ่งมีประโยชน์ต่อสมองช่วยบำรุงความจำ และมีผลดีต่อหัวใจเพราะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล นอกจากนี้ยังมีสารอื่นที่ช่วยทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกายแข็งแรงขึ้น

 18.มะนาว

          เป็นสุดยอดอาหารที่ช่วยทำความสะอาดตับ มีวิตามินซีสูง น้ำมะนาวสดเมื่อนำมาผสมกับน้ำอุ่นแล้ว ดื่มตอนเช้าหลังตื่นนอน จะช่วยล้างพิษและทำให้เลือดสะอาดขึ้น แต่ถ้านำน้ำมะนาวสดผสมกับโยเกิร์ตและน้ำผึ้ง ก็จะเป็นอาหารที่ช่วยล้างพิษในลำไส้ และป้องกันอาการท้องผูกได้อีกด้วย

หัวหอมใหญ่

 19.หัวหอม

          ประกอบไปด้วยสารต่อต้านมะเร็งหลายชนิด และมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงช่วยทำความสะอาดเลือด ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล LD ซึ่งไม่ดี เพราะเป็นตัวการก่อให้เกิดโรคหัวใจ นอกจากนี้ ยังช่วยทำให้ระบบทางเดินหายใจทำงานดีขึ้น ช่วยรักษาโรคหอบโรคทางเดินหายใจ โรคภูมิแพ้ และที่สำคัญคือช่วยรักษาโรคเบาหวานโดยช่วยให้ระดับน้ำตาลคงที่

 20.สาหร่าย

          เป็นพืชสีเขียวในทะเลที่หลายคนมองข้ามคุณประโยชน์ แต่จากการศึกษาของ Mcgill University ที่ Montreal แสดงผลว่า สาหร่ายสามารถจับของเสียจากรังสีที่สะสมในร่างกาย ในปัจจุบันเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงรังสีต่าง ๆ จากคลื่นวิทยุ คลื่นโทรศัพท์ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและคลื่นไมโครเวฟทั้งหลายได้ ซึ่งพลังงานความร้อนเหล่านี้เป็นอันตรายต่อร่างกาย ก่อให้เกิดมะเร็งได้ ซึ่งสาหร่ายจะช่วยดูดซึมคลื่นรังสีเหล่านั้น และสามารถจับกับพวกโลหะหนักได้ด้วย นอกจากนี้ ยังเต็มไปด้วยโปรตีนและเกลือแร่ในปริมาณมาก


สูตรล้างพิษ ” ในร่างกายด้วยตัวเอง

สมัยนี้การล้างพิษได้รับความนิยมอย่างมากเพราะหลายคนเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับสุขภาพและร่างกายกันมากขึ้น วันนี้เราก็เลยมี สูตรล้างพิษ 1 วัน ในร่างกายด้วยตัวเองมาฝากกันอีกด้วยค่ะ ด้วย สูตรล้างพิษ นี้จะช่วยให้คุณนั้นมีร่างกายที่แข็งแรงขึ้น เลือดลมหมุนเวียนคล่อง

แล้วถ้าใช้ สูตรล้างพิษ นี้กันเป็นประจำก็จะช่วยให้คุณนั้นห่างไกลจากโรคมะเร็ง หอบหืด เบาหวาน ภูมิคุ้นกันบกพร่อง แล้วที่สำคัญสำหรับคุณผู้หญิงเลยก็คือ สูตรการล้างพิษ นี้ยังช่วยในเรื่องของการลดความอ้วนหรือลดน้ำหนักนั่นเองค่ะ

สูตรล้างพิษ 1 วัน

หัวใจสำคัญในการล้างพิษใน 1 วัน คือ จะต้องกินให้ได้แคลอรี่น้อยกว่า 800 แคลอรี่ เพื่อให้ระบบย่อยและตับได้พัก ต่อจากนั้นตับจะขับสารพิษออกมาได้และอาหารที่คุณจะทานในวันนั้นจะต้องไม่มี เนื้อสัตว์เข้ามาปะปนเด็ดขาด เข้าใจกันดีแล้วต่อไปเรามาเข้าสู่กระบวนการล้างสารพิษกันเลยดีกว่า
1. เลือกผลไม้ที่คุณชอบมา 1 อย่างเช่น มะละกอ ฝรั่ง แคนตาลูป แอปเปิ้ล ส้มโอ ชมพู่ มะม่วง ฯลฯ ยกเว้นอยู่ 2 อย่าง คือ ทุเรียนและสับปะรด เพราะทุเรียนมีแคลอรีสูงเกินไปและย่อยยากทานแล้วจะเป็นภาระกับระบบย่อย ส่วนสับปะรดนั้นมีกรดสูงมากถ้ากินทั้งวันท้องก็จะอืดได้
2. ทานแต่ผลไม้ชนิดเดียวตลอดทั้งวัน โดยอาจจะปรับเปลี่ยนรูปแบบได้ เช่น ถ้าเลือกมะละกอก็อาจจะทานเป็นเนื้อมะละสุกหรือส้มตำ (มะละกอดิบ) ที่ใส่แต่มะละกอกับน้ำปลามะนาวเท่านั้นไม่ใส่เครื่องประกอบอย่างอื่นเด็ดขาด
3. พอมาถึงมื้อกลางวันก็ทานมะละกออีก แต่อาจจะเป็นน้ำมะละกอปั่นใส่น้ำตาลน้อยที่สุดหรือน้ำมะละกอคั้นสดก็ได้
4. มื้อเย็นก็ยังต้องทานมะละกออีกครั้งเป็นมื้อสุดท้ายของวัน โดยอาจจะบีบมะนาวลงไปด้วยนิดหน่อยเพื่อเพิ่มรสชาติให้ไม่เลี่ยนเกินไป
5. วันรุ่งขึ้นก่อนที่จะเริ่มมื้อเช้าคุณจะต้องดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำอุ่นประมาณ 2 ขวดก่อน เพราะเมื่อเราล้างสารพิษตับจะขับสารพิษให้มารวมกันอยู่ที่ลำไส้เล็กส่วนต้น จึงต้องดื่มน้ำอุ่นผสมมะนาวเข้าไปกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัวเพื่อให้สารพิษถูก ดันออกมากับอุจจาระหลังจากที่ดื่มน้ำอุ่นแล้วคุณจะรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำ ทันที แต่ถ้าไม่มีการดื่มน้ำกระตุ้นและไปทานอาหารเช้าสารพิษก็จะถูกดูดกลับเข้าไป ในกระแสเลือดเหมือนเดิมทำให้การอดอาหารล้างพิษของเราต้องเสียเปล่าไป

- วิธีเตรียมน้ำอุ่นผสมมะนาว

อุปกรณ์
1. ขวดน้ำขนาด 1 ลิตร 2 ขวด
2. มะนาว 4 ลูก
3. เกลือป่น 2 ช้อนชา แต่ห้ามใช้เกลือไอโอดีน

- วิธีทำ
1. ใส่น้ำดื่มให้เต็มขวดจากนั้นบีบมะนาวใส่ลงไปขวดละ 2 ลูก และเกลือ 1 ช้อนชา เขย่าให้เข้ากัน
2. มะนาวจะไปกระตุ้นให้ลำไส้ทำงาน ส่วนเกลือก็จะช่วยอุ้มน้ำไว้ไม่ให้ถูกร่างกายดูดซึมไปหมด น้ำจะได้เหลือไปจนถึงทวารหนักเพื่อขับอุจจาระ
3. หลังจากดื่มน้ำมะนาวประมาณ 10-20 นาที คุณจะรู้สึกปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำ นั่นคืออาการปกติหลังจากถ่ายท้องเรียบร้อยแล้วก็เริ่มทานอาหารได้
กระบวนการล้างพิษจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นถ้าหากทำเป็นประจำสัก 2 อาทิตย์ ต่อหนึ่งครั้ง

มาสุขภาพดีด้วยการล้างพิษ

คุณเคยบ้างไหม...รู้สึกเหนื่อยล้าเป็นระยะเวลายาวนานจนรู้สึกว่า เอ๊ะ ทำไม ตัวฉันถึงไร้พลังกายพลังใจขนาดนี้ แล้วยังไม่สามารถรวบรวมสมาธิทำงานได้นาน ๆ ซึมเศร้าขาดชีวิตชีวา มีปัญหาผิวหนัง ปวดหัว หรือเป็นไข้บ่อย ๆ


ชวนกันไปล้างพิษ
อาจเป็นไปได้ว่า ร่างกายของคุณกำลังทุกข์ระทมเพราะสะสมพิษไว้ในตัวมากเกินไปแล้ว ใครไม่มีพิษสะสมไว้คงไม่ใช่คนร่วมสมัย เพราะทุกวันนี้การใช้ชีวิตของเรา อากาศที่เราหายใจ หรืออาหารที่เรากินเข้าไป ล้วนแล้วแต่เป็นตัวการสำคัญในการสะสมทั้งนั้น ซึ่งเราจะต่อต้านมันได้ด้วยการขจัดพิษเพื่อให้ร่างกายสะอาด สดชื่น มีพลังเพิ่มขึ้นและช่วยให้ระบบอิมมูนซิสเต็ม ทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองร่างกายเราได้เต็มประสิทธิภาพ
ถ้าระบบการดูแลและขจัดพิษ และของเสียออกจากร่างกายทำงานได้ไม่เต็มที่ ของเสียที่ยังตกค้าจะไหลเวียนกลับไปในกระแสเลือด ทั่วร่างกาย แล้วก่อตัวอยู่บริเวณอวัยวะที่อ่อนแอที่สุด
เราจะสังเกตอาการต่าง ๆว่ามีพิษไปสะสมอยู่แถวไหนบ้าง ถ้าเป็นบริเวณลำไส้ใหญ่ และลำไส้เล็ก มักจะท้องผูก ท้องอืด ท้องเสีย บ่อย ๆ ซึ่งเป็นเพราะเรากินอาหารที่ไม่ค่อยมีประโยชน์ ไม่ถูกส่วน มีความเครียด ใช้ยาพวกแอนตี้ไบโอติกบ่อย จิบน้ำสีอำพันเป็นประจำ หรือดื่มน้ำน้อยไป อาหารที่จะช่วยได้ คือผักใบเขียวที่มีคลอโรฟีลล์มาก ๆ หรือนมเปรี้ยวที่มีแล็กโตบาซิลลัส
ถ้ามีปัญหาผิวหนังต่าง ๆ เป็นผื่นแพ้บ่อย ๆ ลิ้นขม ปวดศีรษะ อารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ เหนื่อยล้า นั่นแสดงว่าตับกับไตทำงานหนักเกินไปแล้ว เพราะกรองของเสียเก็บไว้เยอะ องุ่นจะช่วยทำความสะอาดตับไตและผิวหนังได้
พิษที่สะสมในระบบทางเดินหายใจ จะทำให้เป็นหวัดบ่อย ๆ ไอ เจ็บคอ ต่อมทอนซิลอักเสบ มีเซลลูไลท์ ขาดน้ำ มีปัญหาเรื่องผิวหนัง กระเทียม และวิตามินซีจะช่วยดูแลระบบทางเดินหายใจของเรา


ขจัดพิษกันเถอะ
การล้างพิษในร่างกาย มีวิธีการต่าง ๆ เช่นสวนล้างลำไส้ด้วยกาแฟ หรือการอดอาหาร และการเลือกกินอาหาร รวมทั้งการปฏิบัติตัวเพื่อการล้างพิษ
คุณกิตติกูล เสารัมณี ผู้ประสบกับโรคมะเร็งตับที่ศึกษาค้นคว้าด้าน แม็กโครไบโอติก มีประสบการณ์ในการล้างพิษภายในร่างกายหลายขนานมาแล้ว พูดถึงการล้างพิษว่า
"สำหรับ คนที่เป็นโรคอย่างผม ผมอดอาหาร หรือดื่มน้ำผัก น้ำผลไม้ 2-3 วัน เช่นดื่มน้ำอ้อยผสมน้ำมะนาว หรือสวนด้วยกาแฟ คนทั่ว ๆ ไปไม่จำเป็นต้องดีทอกซ์ (detox) แบบ สวนกาแฟที่กำลังแพร่หลายกัน เพราะบางคนอาจแพ้กาแฟ หรือไม่มีความรู้จริงเรื่องการทำ การดูแลความสะอาด ปริมาณของกาแฟที่ใช้หรือ ถ้าน้ำกาแฟไม่อยู่ในลำไส้นานถึง 10 นาที ก็เท่ากับเป็นการสวนอุจจาระเฉย ๆ ต้องคำนึงถึงรายละเอียดพอสมควรและลำไส้บางคนอาจเป็นแผล คนที่จะทำได้ต้องไม่มีโรคหัวใจ ความดันโลหิต หรือไต
"ผมขอแนะนำว่า กินอาหารที่มีประโยชน์ เช่นข้าวกล้อง ข้าวมันปู ธัญพืช ผัก เต้าหู้ 10 วัน พยายามลดเนื้อสัตว์ นม ไข่ กะทิ ของหวาน ร่างกายเราจะได้อาหารที่บริสุทธิ์ไปสร้างเม็ดเลือดที่บริสุทธิ์ 10 วันที่ถ่ายออกไปก็เท่ากับขับพิษหรือของเสียออกไป"
เราขอแนะนำวิธีง่าย ๆ ในการลงมือทำในเวลา 1 เดือน ซึ่งไม่ใช่หลักสูตรเคร่งครัดมากจนยากเกินจะลองทำ เพื่อเรียกสุขภาพดี ๆ และพลังกลับคืนมา ค่อยเป็นค่อยไปในวันแรก ๆ ไม่ต้องทำเต็มสูตร เพื่อค่อย ๆ ปรับตัวและปรับใจก่อน โดยเริ่มจาก...
เลือกอาหารธรรมชาติ
เลี่ยงอาหารที่ผ่านกระบวนการมาก ๆ เนื้อสัตว์สีแดง เหล้าเบียร์ ผลิตภัณฑ์จากนม น้ำตาล น้ำผึ้ง ชา กาแฟ อาหารกระป๋อง ที่แพ็กมาเป็นห่อ ๆ ฟาสต์ฟู้ด หรือวางอยู่บนชั้นนานแล้ว พวกซอสมะเขือเทศ มายองเนส ลดอาหารพวกไข่ ไก่ ผลไม้ น้ำสลัด และน้ำส้มสายชู ข้าวขัดขาว
กินผักดิบสด ๆ ดีกว่า เพราะจะช่วยให้เซลล์ต่าง ๆ ทำงานได้ดี โดยเฉพาะผักที่มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ เช่น แคร็อต มะเขือเทศ บีทรูท รวมทั้งผักใบเขียวต่าง ๆ กินเต้าหู้และนมถั่วเหลือง ปรุงรสชาติและกลิ่นอาหารด้วยกระเทียม ขิง สมุนไพรต่าง ๆ หันมากินเนื้อปลา
โดยเฉพาะพวกปลาน้ำลึก ข้าวหรือพวกแป้งไม่ขัดขาว เช่นข้าวกล้อง ข้าวฟ่าง ข้าวสาลี มันฝรั่ง ลูกเดือย เปลี่ยนเมนูให้หลากหลายเพื่อจะได้ไม่ต้องกินอาหารเดิมๆอยู่ทุกวี่วัน ถ้านึกอยากกินสลัดผักสักจาน ทำเองที่บ้านน่าจะดีกว่า เพราะเราเลือกได้ว่าจะซื้อผักปลอดสารพิษมาทำ ล้างสะอาดแค่ไหนก็รู้ด้วยตัวเอง


เพิ่มน้ำ
ร่างกายต้องการน้ำด้วย อย่าลืม ถ้ามีน้ำน้อยเกินไป ก็จะไปขอน้ำจากลำไส้มาใช้ ซึ่งทำให้ของเสียที่อยู่ในล้ำไส้แห้งลงไป กระบวนการขับถ่ายออกจากร่างกายช้าลงสารพิษก็จะถูกดูดซึมกลับสู่ร่างกายอีก
กระตุ้นระบบทางเดินอาหาร ด้วยการเริ่มจากน้ำอุ่น ๆ ในตอนเช้า อาจจะเป็นน้ำผลไม้เช่นน้ำมะนาว ช่วงกลางวันดื่มน้ำอุณหภูมิปกติให้ได้ 6-8 แก้ว เปลี่ยนจากชากาแฟ เป็นชาสมุนไพรแทน
ทำน้ำผักน้ำผลไม้ดื่มเอง น้ำมะเขือเทศมีวิตามินซีสูง น้ำบีทรูท แคร็อต และเซเลอรี่ เป็นน้ำผักที่บำรุงตับ ถ้ารสชาติไม่เอาไหนเติมน้ำสับปะรด หรือน้ำผลไม้อื่นๆเพื่อปรุงรสสักนิด ไม่ควรเติมน้ำผลไม้รสหวานมากไป หรือดื่มน้ำผลไม้มากกว่าวันละ 1 แก้ว เพราะว่ามีน้ำตาลผสมอยู่เยอะ ดื่มน้อยๆดีกว่า
ออกกำลังกายบ้าง
การได้เคลื่อนไหวร่างกาย เท่ากับช่วยการไหลเวียนของเลือดให้เลือดขนส่งออกซิเจนและสารอาหารที่มีคุณค่าได้ดีขึ้น และการทำงานของระบบหายใจก็จะดีขึ้นด้วย
เลือกเดินหรือจ๊อกกิ้ง ขี่จักรยาน แอโรบิก โยคะ ใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมงหรือ 45 นาทีต่อวัน อาทิตย์ละ 3-5 วัน


หัดหายใจ
เชื่อไหมว่าเรายังหายใจกันไม่ค่อยถูกต้อง หัดหายใจใหม่ ถ้ายังหายใจตื้น ๆ สั้น ๆ อยู่ พยายามหายใจให้ยาวขึ้น และหายใจช้าๆ นับ 1 ถึง 4 ในการหายใจเข้าออก 1 ครั้ง การหายใจเข้าลึกๆทำให้เราสูดเอาออกซิเจนเข้าไปได้เต็มที่ และหายใจออกยาว ๆ ก็จะช่วยการขับคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากขึ้น
ขัดผิวผ่อง
การขัดผิวนอกจากเพื่อบำรุงบำเรอความงามแล้ว ยังช่วยปรับการไหลเวียนและช่วยยักย้ายถ่ายเทพิษที่สะสมไว้ในเนื้อเยื่อ สู่กระแสเลือด เพื่อขับถ่ายออกไป ใช้แปรงด้ามยาวที่ทำจากเส้นใยธรรมชาติ ขัดผิวสัก 5 นาทีก่อนอาบน้ำ หรือนานกว่านั้นเล็กน้อยก็ได้
เริ่มจากการขัดเท้า น่อง ไปสู่ต้นขา ขัดเหนือสะโพก และขึ้นไปกลางหลัง ไล่ไปที่ต้นแขน ไปที่ไหล่ ลงไปที่อก ตรงไปสู่หัวใจ และขัดจากหลังคอลงมา สุดท้ายก็ขัดวนเป็นวงตามเข็มนาฬิกาแถว ๆ ท้อง เพื่อกระตุ้นการทำงานของลำไส้
ล้างใจให้สะอาด
แม้จะไม่เคยมีใจเป็นแม่พระมาก่อน ก็ต้องลองดู เพราะอารมณ์ที่ไม่เบิกบาน ความโกรธ เสียใจ เครียด เศร้าซึม จะทำให้ร่างกายเราหลั่งสารที่มาทำร้ายตัวเราเองมากเกินไป ในระหว่างกระบวนการขจัดพิษ พยายามละลายอารมณ์เสีย ๆ เหล่านี้ทิ้งไปแล้ว...เปลี่ยนวิธีคิดสร้างสิ่งดี ๆ ให้เกิดกับจิตใจ เช่นหัดช่วยเหลือคนอื่น ให้อภัย ยอมแพ้ ลองมองโลกในแง่ดี
อาบน้ำอาบท่าเสร็จ ก่อนนอนทำใจให้สบายหรือนั่งทำสมาธิ ไม่เก็บเรื่องรกใจไปนอนด้วย ถ้าหัดล้างใจไว้จะช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้น ใจไม่ต้องแบกภาระที่หนักอึ้งเกินไป
ปล่อยวางบ้าง ให้คนอื่นเขาไปแบกบ้าง จิตใจจะได้เบาสบาย
หายใจลึก ๆ จังหวะยาว ๆ คิดถึงสิ่งดี ๆ ของตัวเอง ตื่นเช้ากว่าเดิมสักครึ่งชั่วโมง
ในวันที่ไม่เร่งรีบ หามุมสงบ ๆ ที่สามารถอยู่นิ่ง ๆ สบาย ๆ
ทอดสายตามองทัศนียภาพอันน่ารื่นรมย์สักวันละ 15 นาที
อาการระหว่างล้างพิษ
อย่าตกใจถ้ามีอาการเหล่านี้ เช่น ปวดศีรษะ มีเม็ดสิวขึ้น มีผื่นที่ผิวหนัง ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ หงุดหงิด อ่อนเพลีย อารมณ์แปรปรวน เหนื่อยล้า ท้องอืด กลิ่นตัวและลมหายใจไม่สะอาด อาการเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะร่างกายกำลังกำจัดของเสียต่าง ๆ ออกไป ปกติแล้วอาการจะเป็นราว ๆ 3 สัปดาห์แล้วค่อย ๆ หายไป
เหนื่อยอ่อนล้าเพราะทำงานหนัก หรือกำลังอยู่ในช่วงเครียดจัดเกินไป ไม่สบาย
เพิ่งหายไข้หายหวัด หรือมีอาการเจ็บป่วยเรื้อรัง โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับตับ ไต
โรคเบาหวาน ตั้งครรภ์หรืออยู่ในระหว่างการให้นม หรืออยู่ในระหว่างการกินยารักษาโรคอยู่
ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อน


ข้อควรระวัง
ถ้าใช้ช่วงเวลาในการขจัดพิษนานเกินไป ก็จะทำให้ร่างกายขาดน้ำ
การดื่มน้ำผักน้ำผลไม้ปริมาณมาก ๆ อาจจะทำให้ถ่ายท้องมากเกินไป
ถ้าร่างกายได้รับวิตามินซีมากเกินไป จะไปทำร้ายไตได้ นอกจากนี้ยังไปช่วยกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระมากขึ้นไปอีก
อย่าวิตกกังวลเกินเหตุว่า ร่างกายเราได้รับพิษอันมหาศาล หรือเคร่งเครียด เอาเป็นเอาตายกับการขจัดพิษมากเกินไป เพราะแทนที่ผลออกมาจะสบาย กลับให้ผลตรงกันข้าม ถ้ารู้ตัวว่าเป็นคนซีเรียส ท่องไว้เบา ๆ ว่า..."อย่าซีเรียส"
ถ้าสามารถจัดสรรเวลาให้ตัวเองอยู่ในกระบวนการขจัดพิษใน 1 เดือน แล้วจะรู้สึกว่าร่างกายสดชื่นขึ้น ผิวหนังสะอาดขึ้น ดวงตาสดใส ท้องผูกน้อยลง น้ำหนักลด อารมณ์มั่นคงขึ้น และลดระดับความวิตกกังวลไปได้ดีเชียวค่ะ ลองดู
 น้ำผัก ผลไม้ล้างพิษกระเพาะอาหาร

          ทุกๆ วัน คนเราต้องกิน และอาหารที่กินเข้าไปนั้น ก็ไม่มีใครรู้ว่าเจือปนสารพิษ สารเคมีอยู่มากหรือน้อย และเห็นจะเป็นกระเพาะอาหารนี่เอง ที่ต้องรับหน้าที่เหมือนเป็นห้องรับรอง ซึ่งก็ควรทำความสะอาดกระเพาะอาหารกันเสียบ้าง ทำได้ไม่ยากจากสูตรเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ช่วยล้างพิษกระเพาะอาหาร

          ส่วนประกอบของน้ำสูตรนี้ เลือกใช้ ‘แตงโมเหลือง’ อันอุดมไปด้วยเบตาแคโรทีน ทำให้แตงโมเป็นผลไม้ที่ล้างพิษในกระเพาะอาหารและลำไส้ได้อย่างดีเยี่ยม แถมยังลดความดันโลหิต แก้ลมหายใจมีกลิ่นเหม็นได้ดีอีกต่างหาก

          ยังมี ‘มะเขือเทศ’ มีสารต้านอนุมูลอิสระที่โดดเด่นนั่นคือ ไฟโตเคมิคอล ไลโคปีน ทำให้เลือดเป็นด่าง บำรุงระบบย่อยอาหาร และ ‘แครอต’ มีแคลเซียมกับแมกนีเซียมที่เสริมกระบวนการชะล้างพิษของร่างกายให้มี ประสิทธิภาพ

ก่อนลงมือทำ ให้เตรียมผักและผลไม้ตามปริมาณต่อไปนี้

- แตงโมเหลือง 2 ถ้วย
- มะเขือเทศ 1 ถ้วย
- แครอต 1 ถ้วย


          ขั้นตอนในการทำ เริ่มที่หั่นแตงโมออกเป็นชิ้นขนาดพอเหมาะ โดยไม่ต้องเลาะเมล็ดทิ้ง ส่วนมะเขือเทศให้ฝานเป็นแว่นบาง แครอตเพียงขูดเป็นเส้นๆ แล้วนำส่วนผสมทั้งหมดนี้ปั่นรวมกันด้วยเครื่องสกัดน้ำผักและผลไม้ เสร็จแล้วเติมน้ำแข็งได้เพื่อความสดชื่น ดื่มทันทีช่วยล้างพิษที่กระเพาะอาหาร.


ปรับอาหาร-ออกกำลัง-ล้างพิษ’ เยียวยาอาการภูมิแพ้ง่ายๆ ด้วยตนเอง

7
“ฮัดเช้ย…ค้อกแค้ก ค้อกแค้ก” กิริยาการจามและไอ อันเนื่องมาจากอาการของโรคภูมิแพ้ ซึ่งผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้คงซาบซึ้งดีกับความน่ารำคาญทั้งหลายแหล่ที่ตามมา ไม่ว่าจะเป็นอาการคัดจมูก หายใจไม่ออก เสมหะเหนียวเต็มคอ คันยุบยิบในโพรงทางเดินหายใจ และถ้าเป็นมากๆ อาการคันอาจจะลามไปถึงดวงตา และผิวหนังส่วนอื่นๆ ด้วย
และถ้าหากผู้ป่วยภูมิแพ้ไม่พบแพทย์และดูแลตัวเองอย่างจริงจังแล้ว โรคอาจจะพัฒนาไปจนเพิ่มอาการหอบ หืด หรือแพ้มากขึ้นตามไปอีก
พญ.ลลิตา ธีระสิริ แห่งศูนย์ธรรมชาติบำบัดบัลวี ผู้เชี่ยวชาญการบำบัดอาการภูมิแพ้แบบไม่ใช้ยาด้วยการแพทย์ทางเลือก กล่าวถึงสถานการณ์และจำนวนที่เพิ่มขึ้นของผู้ที่ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้และการดูแลตัวเองแบบง่ายๆ ที่จะช่วยเยียวยาอาการภูมิแพ้ให้น้อยลงด้วยตัวเองว่า จากข้อมูลล่าสุดที่เคยมีผู้เก็บสถิติไว้ในปี พ.ศ.2538 พบว่ามีคนไทยที่ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้และไปพบแพทย์ทั้งหมด 13 ล้านคน ไม่นับผู้ที่ซื้อยากินเองตามอาการและผู้ที่ทนโดยไม่ไปพบแพทย์และไม่ซื้อยากินเองซึ่งมีอีกจำนวนไม่น้อย
“ปีที่แล้วโรงพยาบาลศิริราชออกมาให้ข้อมูลว่าจะมีผู้ป่วยเด็กโรคภูมิแพ้มากขึ้นถึงปีละ 60,000 ราย ถามว่าทำไมเราจึงพบเด็กที่ป่วยด้วยโรคภูมิแพ้ตั้งแต่ยังเด็กๆ คำตอบก็คือ เด็กจะเริ่มเป็นโรคภูมิแพ้หลังจากเลิกกินนมแม่และหันมากินนมวัว รวมถึงอาหารอย่างอื่น ซึ่งเหล่านี้อาจจะมีสารอย่างใดอย่างหนึ่งที่ทำให้แพ้ได้”
พญ.ลลิตา อธิบายอาการของโรคภูมิแพ้ ว่า ผู้ป่วยจะมีอาการคันมากในคอ คันตา และคันผิวหนัง น้ำมูกไหล หายใจไม่ออก ไม่ได้กลิ่น จมูกตัน ปวดหนักศีรษะ ไอ น้ำตาไหล นอนกรน ซึ่งแม้ว่าผู้ป่วยบางรายอาจจะหายไปเองเมื่อโตขึ้น แต่ก็มีประมาณ 30% ที่ไม่หายและต้องทุกข์ทรมานด้วยอาการนี้ไปตลอดชีวิต และที่สำคัญคือ หากเลือกที่จะรักษาโรคนี้ด้วยยาแผนปัจจุบัน ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นยาสเตียรอยด์นั้น ก็จำเป็นจะต้องกินยาไปตลอดชีวิต ซึ่งสารตกค้างและผลข้างเคียงก็อาจจะส่งผลร้ายต่อร่างกายในระยะยาวด้วย
“วิธีการเยียวยาตัวเองเมื่อป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ทำได้ง่ายๆ ด้วยการปรับการดำเนินชีวิต สำหรับผู้ที่เลือกจะไม่รักษาด้วยวิธีกินยาแผนปัจจุบัน วิธีการนี้ทำได้เองที่บ้าน ง่ายๆ คือ ปรับอาหาร ออกกำลังกาย และที่สำคัญคือ ต้องไม่ให้แม่ที่มีอายุครรภ์ 6 เดือน คือก่อนคลอดสามเดือน กินนมวัว คือห้ามแม่ที่กำลังจะคลอดกินนมวัว เพราะโปรตีนนมวัวเป็นโปรตีนเล็ก สามารถจะเข้าไปถึงทารกในครรภ์ผ่านทางสายสะดือได้ทั้งสาย ซึ่งลูกที่อยู่ในท้องอาจจะมีอาการแพ้ตั้งแต่อยู่ในท้องได้ ถ้าหากจำเป็นต้องกินแคลเซียม ควรให้แม่หาแคลเซียมจากแหล่งอื่น
อย่างที่หมอเด็กแนะนำ คือ ควรเลี้ยงทารกด้วยนมแม่อย่างน้อย 6 เดือน นั่นเพราะเมื่อเด็กเกิดใหม่ๆ เนื้อเยื่อในร่างกายจะยังหลวม ยังไม่แน่น เมื่อนมวัวเข้าไปอาจจะนำสารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้เข้าไปในตัวเด็กด้วย ดังนั้นหากจำเป็นต้องเลี้ยงทารกด้วยนมวัวจริง ควรให้หลังจากอายุเกิน 6 เดือนไปแล้ว แต่ก็ไม่ควรจะให้มาก”
แพทย์คนเดิมกล่าวต่อไปอีกว่า อาหารที่ผู้ป่วยภูมิแพ้ควรเลี่ยงประการแรกเลย คือ “นมวัว” และผลิตภัณฑ์จากนมวัว เช่น ชีส โยเกิร์ต เค้ก พิซซ่า ช็อกโกแลต ฯลฯ เนื่องจากสถิติที่พบจากผู้ป่วยก็คือ ประมาณ 50% มีอาการแพ้นมวัวและผลิตภัณฑ์จากนมวัว
“อาการแพ้ที่มาจากอาหารนั้น เท่าที่เราพบ มีผู้ป่วยที่มีอาการแพ้นมวัวสูงถึง 50% รองลงมาคือแพ้ไข่แดง 10% แพ้ถั่วลิสง และถั่วเหลือง 3% แพ้ข้าวสาลี 1% แพ้ช็อกโกแลต 1% และแพ้อาหารทะเล 1% ซึ่งหากผู้ป่วยมาพบเรา เราก็จะแนะนำให้เขาเลิกกินนมวัวและผลิตภัณฑ์จากนมวัวโดยเด็ดขาด ซึ่งหากเขาแพ้ตัวนี้ เมื่อหยุดกินอย่างเด็ดขาด เขาจะหายจากอาการภูมิแพ้ภายใน 6 เดือน แต่ถ้าไม่หายอีก เราก็จะให้เขางดไข่แดง กินได้แต่เฉพาะไข่ขาว แต่เท่าที่พบเมื่องดนมวัว อาการก็จะดีขึ้น
สังเกตไหมว่า ในขณะนี้มีผู้ป่วยโรคภูมิแพ้มากขึ้น ในขณะที่คนไทยรุ่นก่อนไม่ค่อยเป็น นั่นเพราะอาหารที่เปลี่ยนไป คนรุ่นก่อนกินอาหารไทย ไม่ได้กินนม กินเนย กินผงชูรส กินชีส พวกพิซซ่า โยเกิร์ต ทำให้ไม่พบอาการภูมิแพ้ในคนรุ่นก่อนมากนัก แต่ปัจจุบันเด็กบ้านเรากินแบบฝรั่งมากขึ้น กินนม กินเนย กินฟาสต์ฟู้ด กินขนมกรอบๆ ในซองที่เป็นแป้งใส่ผงชูรส นั่นเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายเป็นภูมิแพ้
นอกจากนี้ ยังมีสารอีกหลายชนิดที่ใช้กันในท้องตลาด ที่กระตุ้นทำให้เกิดอาการภูมิแพ้ แต่หลักๆ จำไว้ 5 ตัวก็พอ คือ ทาร์ทราซีน ถูกใช้เป็นสีเหลืองส้มในการทำเค้ก แยม เครื่องดื่ม และซอส, อะมาแรนด์ คือ สีแดงในเยลลี่ เครื่องดื่ม ซอส แยม, ไนไตรท์ ที่จะพบในเนื้อสัตว์แปรรูปจำพวกไส้กรอก และทรากาแดนท์ที่จะพบในเนยแข็ง น้ำสลัดและตัวสุดท้ายที่ผู้ป่วยภูมิแพ้ควรเลี่ยง ก็คือ ผงชูรส
ส่วนอาหารดีที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ที่แนะนำให้ผู้ป่วยทุกคนกิน ก็คือ ผักสดวันละ 2 จาน ผลไม้วันละ 2 ผล ขนาดเท่าผลแอปเปิ้ล ถ้าใหญ่หรือเล็กก็วัดตามสัดส่วน เอาขนาดผลแอปเปิ้ลเป็นเกณฑ์ และน้ำผลไม้คั้นสด 1 แก้ว ขอให้กินได้ในสัดส่วนทั้งหมดนี้ทุกวัน”
นอกจากนี้ พญ.ลลิตา ยังได้แนะนำให้เสริมความแข็งแรงให้แก่ร่างกายด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำทุกวัน โดยเลือกรูปแบบการออกกำลังกายที่ชอบและเหมาะสมต่อตนเอง แต่ต้องเป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิค โดยใช้แรงประมาณ 60%
“เลือกที่ชอบและเหมาะกับตัวเอง อาจจะเป็นวิ่ง ปั่นจักรยาน หรือเต้นแอโรบิกก็ได้ แล้วที่บอกบอกว่าใช้แรงประมาณ 60% เดี๋ยวจะไม่เข้าใจ อธิบายง่ายๆ ก็คือไม่เหนื่อยขนาดที่เต้นไปพูดไปไม่ได้ แล้วก็ไม่ได้เบาขนาดเต้นไปร้องเพลงไปได้ เช็กง่ายๆ ก็คือ เอาเพื่อนไปด้วยเวลาไปออกกำลังกาย ถ้าเราออกกำลังกายขนาดร้องเพลงไปเต้นไปได้ นั่นถือว่าเบาไป ให้เพิ่มแรงให้เหนื่อยอีกนิด แต่ถ้าเหนื่อยจนพูดกับเพื่อนไม่รู้เรื่อง ให้ลดแรงลงมาหน่อย นั่นเหนื่อยเกินไป ออกกำลังกายให้ได้ทุกวันหรือถ้าไม่ได้ทุกวันก็ขอให้ออกให้ได้สม่ำเสมอเท่าที่จะทำได้”
ประการสุดท้าย ที่สามารถทำเองได้ที่บ้านแบบไม่ยากเลย คือ การ “ล้างพิษ” โดยพญ.รายระบุว่า ตามหลักของบัลวี การล้างพิษคือการอดอาหารและปล่อยให้ร่างกายขับสารพิษออกมา
“มีอยู่ 2 สูตรที่จะแนะนำ ก็แล้วแต่ความสะดวกของแต่ละคนที่จะนำไปใช้ สูตรแรก คือ สูตร 10 วัน ซึ่งควรทำปีละ 1-2 ครั้ง เริ่มจากการเตรียมร่างกาย 1 วัน โดยลดจำนวนอาหารที่กินลง อีก 2 วันต่อมาให้กินผลไม้อย่างเดียว จากนั้นอีก 5 วันให้กินแต่ผักสด ผลไม้ เห็ด โดยงดข้าวและเนื้อสัตว์ จากนั้น 2 วันที่เหลือเป็นวันปรับท้องเตรียมออกด้วยการเพิ่มจำนวนผักสดและผลไม้ที่กินให้เพิ่มขึ้น เมื่อครบ 10 วันจากโปรแกรมนี้ก็กินอาหารอื่นได้ตามปกติ”
และสำหรับโปรแกรมอด 1 วันล้างพิษนั้น ค่อนข้างสะดวกและทำง่าย ซึ่งหากจะให้ได้ผลดีต่อร่างกายพญ.ลลิตาแนะนำว่าควรทำให้ได้ทุกสัปดาห์ วิธีทำคือ มื้อเช้าให้กินผลไม้และน้ำผลไม้คั้นสดที่ชอบ มื้อต่อมาให้กินผลไม้ตลอดทั้งวัน แต่ถ้าหากท้องปรับจนชินแล้วอาจจะเปลี่ยนจากผลไม้มื้อกลางวันและเย็น เหลือแค่น้ำผลไม้คั้นสดมื้อละแก้ว หรือเป็นน้ำเปล่าทั้งวัน หรือไม่กินอะไรเลยทั้งวัน แล้วจะความชินของร่างกายแต่ละคน
“ถ้าเป็นมือใหม่หัดล้างพิษ คือหัดอด ก็แนะนำโปรแกรมแรก คือ ให้กินผลไม้ทั้งวันได้ แล้วพอครบ 24 ชั่วโมง ให้นำมะนาว 4 ลูก ผสมในน้ำ 2 ขวด ขวดละ 2 ลูก ตามด้วยเกลือ 2 ช้อนชา และค่อยดื่มลงไป เพราะเมื่อร่างกายอดอาหารและได้พัก ร่างกายจะขับสารพิษออกมาที่ตับ และจะถูกลำเลียงไปยังลำไส้เล็ก
การกินน้ำผสมมะนาวและเกลือลงไป จะเป็นการล้างพิษออกไปทางลำไส้ใหญ่ และถูกขับถ่ายออกไปในที่สุด” พญ.ลลิตา แนะนำ
หรือสนใจ น้ำพลังเอนไซม์บำบัดสูตรเข้มข้น สำหรับ ล้างพิษ อ่านรายละเอีดย เพิ่มเติมได้ที บ้านรักษ์สุขภาพ

อาหารที่ควรงดระหว่างการล้างพิษ
1. ลูกกวาด ลูกอมทุกชนิด
2. ขนมปังขาว ข้าวขัดขาว
3. ผลไม้ประป๋อง
4. น้ำอัดลม
5. ช็อกโกแลต
6. ไอศกรีม
7. เครื่องดื่มบำรุงกำลัง
8. เค้ก คุกกี้ ขนมปังอบกรอบ
9. ขนมขบเคี้ยวต่างๆ
10. แอลกอฮอล์
11. ขนมที่สีสันฉูดฉาด
12. อาหารขยะ 13. น้ำตาลทรายขาว

น้ำสมุนไพร
ชามะตูม มีวิตามินเอ แคลเซียม ฟอสฟอรัส น้ำตาล น้ำมันหอมระเหย ช่วยระบายท้อง บำรุงธาตุ ขับลม
ชาขิง ขิงเต็มไปด้วยน้ำมันหอมระเหย ธาตุแคลเซียม และสารเบต้าแคโรทีน ช่วยขับลม แก้ท้องอืด จุกเสียด คลื่นไส้อาเจียน แก้ไอ ขับเสมหะ แก้คอแห้ง เจ็บคอ
ชาส้มป่อย มีวิตามินซีสูง ขับเสมหะ แก้ไอ แก้บิด ฟอกโลหิต
ชาหญ้าแพรก แก้ไข้ ท้องเสีย ขับลมในกระเพาะอาหารและลำไส้
ชาชะเอม บรรเทาอาการไอ ขับเสมหะ ลดอาการอักเสบของกระเพาะอาหาร ลดอาการแพ้ ลดพิษของสารเคมี ยับยั้งการหลั่งสารฮีสตามีน ทำให้ชุ่มคอ
ชาหญ้าหนวดแมว มีส่วนประกอบของสารโปแตสเซียมสูงมาก มีกรดไขมันที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยลดปริมาณน้ำตาลในเลือด จึงเหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน อีกทั้งสามารถขับกรดยูริก บรรเทาอาการปัสสาวะไม่ปกติ บรรเทาอาการปวดจากโรคนิ่ว ช่วยทำให้ขนาดของก้อนนิ่วลดลงได้ บรรเทาอาการปวดหลัง ปวดเอว
ชาตะไคร้ แก้ปวดท้อง ขับปัสสาวะ บำรุงธาตุ ขับเหงื่อ แก้ท้องอืด ลดความดัน รักษานิ่ว
ชาฟ้าทะลายโจร แก้โรคบิด ท้องร่วง แก้ไอ เจ็บคอ บำรุงร่างกาย บำรุงโลหิต
ชามะขามแขก เป็นยาระบายอ่อนๆ ขับลม ในลำไส้ แก้ริดสีดวง
น้ำกระชายดำ บำรุงหัวใจเป็นยาอายุวัฒนะ บำรุงกำลัง แก้ใจสั่น ช่วยขับลม ขับปัสสาวะ แก้บิดมูกเลือด แก้ท้องเดิน
น้ำเก๋าเกี้ย ประกอบไปด้วยโปรตีน วิตามินเอ ซีและบี ลดอาการเมื่อยล้า และพร่ามัวของสายตา มีธาตุเหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส และกรดอะมิโนหลายชนิด บำรุงกระดูก ขับลมในกระเพาะอาหาร ลออาการปวดหลัง ปวดเอว ลดความเครียด และวิงเวียนศีรษะ ช่วยให้หลับสบาย
ชาคำฝอย ช่วยลดคอเลสเตอรอล และไขมันในเส้นเลือด บำรุงระบบการไหลเวียนของโลหิต
น้ำเตยหอม อุดมไปด้วยสารแอนโธไซยานิน ช่วยบำรุงหัวใจ แก้กระหาย ทำให้ชุ่มคอ บรรเทาอาหารอ่อนเพลีย รากของเตยหอมช่วยลดปริมาณน้ำตาลในเลือด


กระบวนการล้างพิษ จึงเกิดขึ้นมาเพื่อล้างพิษในร่างกายของคนเราค่ะ โดยอยู่ภายใต้ความเชื่อว่า การมีสุขภาพดีที่จำเป็นต้องบำรุงรักษาทั้งร่างกายและจิตใจเราจึงควรล้างพิษผ่านวิธีทั้ง 5 ได้แก่ กินเพื่อล้างพิษ อดเพื่อล้างพิษ ฝึกลมปราณเพื่อล้างพิษ ฝึกสมาธิเพื่อล้างพิษทางจิตใจ และสวนลำไส้เพื่อล้างพิษ เพื่อให้กระบวนการฟื้นฟูสุขภาพเป็นไปอย่างครบถ้วนค่ะ
อด...ล้างพิษ 
มีคำกล่าวว่า "คนกินมากก็ป่วยมาก" ทำให้ Audrey ย้อนคิดว่า คนเราป่วยเพราะกินมีเพิ่มขึ้นจริงๆ ค่ะ การล้างพิษวิธีที่สองจึงชักชวนให้หันมาอดล้างพิษกันดูบ้าง ซึ่งทางการแพทย์ระบุว่า มนุษย์เราสะสมพลังงานในรูปไขมันและพลังงานไว้เพียงพอต่อการอดอาหารประมาณ 1-2 วัน ได้โดยไม่เจ็บป่วยเชียวนะ
ข้อดีของการอด คือลดการทำงานของอวัยวะภายใน เช่น กระเพาะก็ไม่ต้องย่อยอาหาร ลำไส้ก็ไม่ต้องดูดซึม อวัยวะภายในอื่นๆ ก็จะทำงานน้อยลง ซึ่งหากคนเราใช้งานกระเพาะหรืออวัยวะภายในส่วนใดส่วนหนึ่งมากเกินไป ร่างกายก็จะสร้างสารพิษที่เรียกว่ามะเร็งนั่นเองค่ะ สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มอดอาหาร สามารถเริ่มต้นด้วยการกินผลไม้ หรือน้ำผลไม้ตลอดทั้งวันก่อนก็ได้ แต่ก่อนการอด ควรจะให้แพทย์ตรวจร่างกายก่อน และในวันที่อดอาหารก็ไม่ควรทำงานหนักด้วยค่ะ

กิน...ล้างพิษ 
คุณแม่สามารถหลีกเลี่ยงอาหารมีพิษได้ง่ายๆ โดยงดเว้นอาหารหมักดอง อาหารขัดขาวหรือฟอกสี รวมไปถึงอาหารสำเร็จรูป แล้วเลือกกินผักสด เลือกแบบไม่มีสารปนเปื้อนหรือล้างเอายาฆ่าแมลงออกให้หมดยิ่งประเสริฐ กินข้าวกล้อง ข้าวมันปูแทนข้าวขาว น้ำตาลทรายแดงแทนน้ำตาลขัดขาว ที่สำคัญกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยที่ไม่เลือกกินเนื้อสัตว์ แป้ง น้ำตาล มากจนเกินไป
แต่สำหรับคุณแม่ที่มีเวลาน้อย ไม่สามารถเลือกกินอาหารได้ครบ 5 หมู่ หรือวิตามินที่จำเป็น มีทางเลือกง่ายๆ คือปั่นน้ำผัก น้ำผลไม้ดื่มเป็นประจำ ก็ช่วยล้างพิษได้ค่ะ

ฝึกสมาธิ... ล้างพิษในใจ 
คนที่ฝึกสมาธิได้ระดับหนึ่งร่างกายจะหลั่งสารเอ็นดอร์ฟินหรือสารแห่งความสุขออกมาค่ะ และเมื่อร่างกายสงบ เกิดสมาธิ หัวใจจะเต้นช้าลง ลมหายใจที่เคยสั้นเพราะเครียดก็จะยาวขึ้น เมื่อควบคุมลมหายใจได้ทำให้ปอดขยาย ร่างกายก็สามารถปรับออกซิเจนได้มากขึ้น เกิดกระบวนการเผาผลาญไขมัน ลดการอักเสบในระบบภูมิคุ้มกัน ร่างกายจะสร้างเม็ดเลือดขาวที่เป็นภูมิคุ้มกันของร่างกายได้มากขึ้น แถมทำให้คลื่นสมองเป็นระเบียบ ช่วยให้มีความจำดีขึ้น ข้อดีมีมากมายจน Audrey จาระไนไม่หมดของอย่างนี้ไม่เชื่อต้องพิสูจน์ด้วยตนเองนะคะ

สวนลำไส้...ล้างพิษ 
ฟังชื่อแล้วอย่างเพิ่งเสียวลำไส้กันไปนะคะ การสวนล้างลำไส้เกิดขึ้นเพราะพฤติกรรมการกินอาหารของคนปัจจุบัน อาทิ การกินอาหารขัดสี หรือมีกากใยน้อย ส่งผลให้ลำไส้ทำงานไม่ดีเพิ่มสารพิษให้ร่างกาย และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของอาการเจ็บป่วย